รองผบ.ตร.ยันมีแผนรับคนไทยกลับจากเมียนมา
รอง ผบ.ตร.เผย ปัญหาการเมืองเมียนมายังไม่กระทบไทย เตรียมแผนรองรับหากคนไทยต้องการกลับ – เตือนชุมนุมคัดค้านตำรวจต้องดำเนินคดี
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ระบุ ได้สั่งกำกับให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองดูแลและติดตามความเคลื่อน ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา หลังเกิดปัญหาทางการเมือง ในประเทศเมียนมา โดยขณะนี้ ตามด่านต่างๆ ยังเปิดให้มีการขนสินค้าตามปกติ
ขณะที่ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ได้ส่งสัญญาณให้เตรียมพร้อม รองรับคนไทยในประเทศเมียนมา ที่ต้องการเดินทางกลับ โดยเฉพาะสถานที่กักตัว 14 วัน ตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ซึ่งทางการไทยได้มีการเตรียมความพร้อมทุกอย่าง และติดตามสถานการณ์เมียนมาอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้การข่าวยังปกติไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนการดูแลรักษาความปลอดภัยสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย รวมถึงเจ้าหน้าที่ทูต ทางตำรวจท้องที่ และสันติบาล มีการดูแลตามแผนปฏิบัติอยู่แล้ว
รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่อยากให้มีการชุมนุมเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพราะในพื้นที่ กทม. ก็เป็นเขตควบคุมเรื่องการแพร่ระบาด หากชาวเมียนมาเอง หรือผู้ที่ต้องการแสดงออก ไม่เห็นด้วยกับการเมืองเมียนมา ขอให้ใช้วิธีการยื่นหนังสือ หรือใช้โซเชียลมีเดียในการแสดงออก เพราะการชุมนุมในลักษณะนัดรวมตัวทำกิจกรรม มีความสุ่มเสี่ยง และผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อยากดำเนินคดี แต่ละเว้นไม่ได้ หากมีการชุมนุมเกิดขึ้น ก็ต้องรับผลของการกระทำ
ส่วนการชุมนุมที่สถานทูตเมียนมาวานนี้ (1 ก.พ.) ตำรวจได้จับกุมดำเนินคดีแล้ว 3 ราย ฐานชุมนุมฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉินฯ และพรบ.ควบคุมโรคฯ และฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิเสธไม่เกี่ยวข้อง หลังถูกพาดพิง เอี่ยวส่วยตำรวจตระเวนชายแดน
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์ กรณี มีนายตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ร้องเรียนผู้บังคับบัญชา เรียกรับส่วยรายเดือน แต่ยอมรับว่าผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 คนปัจจุบัน เคยอยู่ในคณะทำงานแก้ไขปัญหาจราจร ที่ตัวเองเคยเป็นประธาน ซึ่งสมัยนั้นผู้บังคับการคนดังกล่าวดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการจังหวัดกาญจนบุรี ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ามาในคณะทำงาน แต่ยืนยัน ไม่รู้จัก หรือเคยทำงานร่วมกันในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา
แต่เมื่อปรากฏตามเอกสารข้อร้องเรียน มีการพาดพิงชื่อของตัวเอง ส่วนตัวได้สอบถามไปยังผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 ซึ่งได้รับการชี้แจงเบื้องต้นว่าไม่เคยแอบอ้างชื่อไปเรียกรับผลประโยชน์
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยัน ขณะนี้ จเรตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริง ตามกรอบระยะเวลา 5 วัน ดังนั้นส่วนตัวขอให้รอผลการสอบสวนจากการทำงานของจเรตำรวจแห่งชาติก่อน
รองผบ.ตร.เผย ตำรวจภูธรภาค1-9 เร่งสอบปากคำ 9,800 คนทุจริตเราเที่ยวด้วยกันก่อนดำเนินคดี
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้า การดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องในการทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ว่า ตำรวจกองบังคับการปราบปรามจะส่งประเด็นไปยังกองบัญชาการตำรวจภูธร 1-9 ทั่วประเทศ เพื่อทำการสอบสวนผู้ให้ถ้อยคำ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งหลังจากการสอบปากคำแล้ว จึงจะพิจารณาข้อเท็จจริงว่าเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ ทั้ง 9,800 คน แบ่งเป็น 2 คดี เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริง ว่า ทำไมสิทธิของแต่ละคนไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ หากพบว่าเป็นผู้ยอมให้สิทธิคนอื่นนำไปใช้สิทธิ มีการรับรู้หรือได้เงินมาไหม หากได้เงินมาจะยินดีชดใช้คืนหรือไม่ เพราะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง หากยินดีชดใช้คืน ทางผู้เสียหาย คือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อาจจะพิจารณาถอนคำร้องทุกข์ให้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายคดี ทั้งโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง ซึ่งทาง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายให้จัดการประชุม เพื่อชี้แจงแนวทางให้ชัดเจนและให้รวดเร็ว โดยให้รองผู้การที่ทำหน้าที่ในการสอบสวนของทุกจังหวัด มาร่วมรับรู้แนวทางการทำงานให้ชัดเจนขึ้น ของกองบังคับการปราบปราม และปอศ. ซึ่งดูแลเกี่ยวกับคดีคนละครึ่ง โดยได้มีการดำเนินการไปแล้ว 1 คดี อยู่ระหว่างดำเนินการอีก 2 คดี หากพบผู้กระทำผิดรายย่อยต่างๆ ก็จะมีการดำเนินคดีตามจังหวัดต่างๆ
รองผบ.ตร. กล่าวต่อว่า ภาพรวมของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่จะต้องตรวจสอบอีกกว่า 900 แห่ง เป็นทั้งโรงแรม ร้านค้า รวมถึงผู้สวมสิทธิ และผู้ใช้สิทธิ โดยจะให้แต่ละพื้นที่เกิดเหตุเป็นคนรับทำคดี โดยยึดแนวทางของกองบังคับการปราบปราม และทำงานช่วยกันทั่วประเทศ เช่น ผู้ให้ถ้อยคำอยู่จังหวัดใดก็จะส่งประเด็นให้จังหวัดนั้นเป็นผู้สอบ จะได้ไม่ต้องมีการเคลื่อนตัวมาก เพราะอยู่ในสถานการณ์โควิด-19
ทั้งนี้ หลายคดีอาจมีแผนประทุษกรรมที่คล้ายกัน เช่น ผู้รวบรวมสิทธิอยู่จังหวัดหนึ่ง ผู้ใช้สิทธิอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง หรือประชาชนผู้ขายสิทธิอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งจะมีการส่งประเด็นให้ช่วยกันสอบทั่วประเทศ กว่า 1,400 สถานีตำรวจ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news