DSI จ่อเรียกสอบบุคคลเอี่ยวบริษัทนอมินี ร่วมสร้างตึกสตง.ถล่ม

ดีเอสไอ จ่อเรียกสอบบุคคลเกี่ยวข้องบริษัทนอมินี ร่วมสร้างอาคารสตง.ถล่ม
วันนี้ (4 เม.ย. 68) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อเข้าร่วมประชุมกับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 ตามความผิดพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หรือนอมินี โดยเป็นการประชุมนัดแรก หลังอธิบดีดีเอสไอใช้อำนาจรับคดีนอมินี บจก.ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 บริษัทผู้ร่วมก่อสร้างอาคาร สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ ที่ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวเป็นคดีพิเศษ ตามความผิดท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ
พ.ต.อ.ทวี กล่าวภายหลังการประชุมว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้อำนวยความเป็นธรรมในกรณีดังกล่าว จึงได้มารับฟังข้อมูล และอยากให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษทั้ง 36 คนรับทราบว่าคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนต้องการได้รับความยุติธรรม เนื่องจากปัจจุบันมีผู้เสียชีวิต 15 ราย และยังมีผู้สูญหายจำนวนมาก อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนจำเป็นต้องมีพยานหลักฐาน
จากการสอบพยานบุคคล และยังต้องแสวงหาพยานเอกสาร และพยานวัตถุ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตึกถล่ม จึงอยากให้อธิบดีไปประสานกับผู้รับผิดชอบ และนำผู้เชี่ยวชาญเข้าไปดูจุดเกิดเหตุ เผื่อจะนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานได้ แต่การเข้าไปนั้นต้องไม่เป็นอุปสรรคในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่คาดว่ายังมีชีวิตอยู่
อีกเรื่องที่อยากให้ดีเอสไปตรวจสอบคือ หน่วยงานที่ควบคุมการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และควบคุมการประกอบธุรกิจบุคคลต่างด้าว คือกระทรวงพาณิชย์ แต่ในส่วนของกิจการร่วมค้า กระทรวงพาณิชย์กลับบอกว่าไม่มีทะเบียน โดยอ้างว่าไม่ใช่นิติบุคคล ตามกฎหมายแพ่ง จึงทำให้คนที่ต้องรับผิดชอบในส่วนนี้คือกรมสรรพากร
ซึ่งสรรพากรไม่มีหน่วยงานโดยตรงที่จะรับผิดชอบเรื่องทะเบียนดังกล่าว จึงอยากให้ตรวจสอบ และตอบคำถามสังคมว่าธุรกิจต่างด้าวไปร่วมค้ากับ 11 บริษัทของคนไทย และได้งานถึง 29 โครงการได้อย่างไร มีส่วนไหนที่ต้องดำเนินการแก้ไข และหากพฤติกรรมลักษณะนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการผลประโยชน์ จะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่ ก็เป็นส่วนที่ต้องประสานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ อาทิ กทม., สตง., หรือปปช. ในการตรวจสอบ
ส่วนประเด็นข้อสงสัยที่ว่าตัวการอาจจะหลบหนีไปแล้วนั้น หากพิสูจน์ความผิดแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ต้องนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการไปได้เยอะแล้ว หลักฐานที่อยู่ในส่วนราชการต่างๆก็รวบรวมมาแล้ว และที่สำคัญได้ตั้งผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินภาษี และบัญชีมาช่วยดู เพื่อความแน่นหนาของพยานหลักฐาน
ด้านพ.ต.อ.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ดีเอสไอได้รับคดีในฐานความผิดการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเป็นคดีพิเศษ ตรวจสอบในประเด็นที่มีคนไทยถือหุ้นอยู่ เป็นการถือหุ้นโดยอำพรางหรือไม่ ซึ่งได้มอบหมายให้ ร.ต.อ. สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน
จากรายงานการตรวจสอบเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่บ้านของนายประจวบ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์10 ที่อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด เจ้าหน้าที่ไม่พบตัวนายประจวบ แต่มีการสอบถามภรรยา จึงทราบว่าสามี หรือนายประจวบนั้น ทำงานรับจ้าง ได้รายได้ต่อเดือนน้อยมาก ประมาณหมื่นกว่าบาทต่อเดือน ซึ่งไม่สอดคล้องกับการเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นในหลายๆบริษัทนิติบุคคล มีแนวโน้มว่าจะเป็นนอมินี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหลักฐานไว้ในสำนวนแล้ว ส่วน นายโสภณ และนายมนัส ผู้ถือหุ้นชาวไทยอีก 2 คน อยู่ระหว่างการติดตามตัว
นางสาวกนกไรวินท์ บุรินทร์นันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบบัญชี ชี้แจงว่าจากการติดตามผู้ถือหุ้นชาวไทยทั้ง 3 คน นายมนัสถือหุ้นถึง 3.6 แสนหุ้น แต่ต่อมาได้โอนให้นายโสภณ เจ้าหน้าที่จึงกำลังติดตามว่าการโอนหุ้นนี้ เป็นการซื้อขายโดยแท้จริงหรือไม่อย่างไร ประกอบกับบุคคลทั้งสามไม่เคยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการรับเหมาก่อสร้าง มาก่อน แต่กลับมาร่วมรับงานของภาครัฐ และเข้ามาร่วมเป็นผู้บริหารงาน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติม
ร.ต.อ. สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า เราต้องค้นหาความจริงว่าสาเหตุที่ทำให้ตึกถล่มคืออะไร ทั้งส่วนของนอมินี และการอ้างตนว่าเป็นบริษัทไทย เป็นการแจ้งเอกสารอันเป็นเท็จหรือไม่ อีกทั้งมีการร่วมค้ากับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อเข้าประมูลงานกับภาครัฐ 29 โครงการ เป็นเงินประมาณ 2.2 หมื่นล้าน ก็ต้องตรวจสอบว่าบริษัทเอกชนดังกล่าวรู้เห็นเป็นใจหรือไม่
โดยขอเวลาในการสืบสวนไม่เกิน 2 เดือน ทั้งนี้อธิบดีดีเอสไอได้เผยว่า มั่นใจว่าจะสามารถแสวงหาเอกสาร รวมทั้งพยานหลักฐานต่างๆได้ แม้ก่อนหน้านี้มีภาพปรากฏกลุ่มชาวจีนหอบเอกสารหนีออกจากอาคารสตง. ซึ่งขณะนี้ถูกตำรวจยึดเอาไว้ ดีเอสไอยังไม่ได้รับแต่จะมีกระบวนการในการส่งมอบต่อไป และย้ำว่าขณะนี้ พนักงานสอบสวน เน้นสอบสวนในฐานความผิดที่รับเป็นคดีพิเศษ ส่วนความผิดในฐานอื่นๆจะมีการขยายผลภายหลัง โดยภายในสัปดาห์นี้ ไม่เกินสัปดาห์หน้าจะเห็นการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำเพิ่มเติม
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews