Home
|
เศรษฐกิจ

เพื่อไทยจัดเสวนาออนไลน์เรื่องการบริหารวิกฤตโควิด

Featured Image
เพื่อไทย จัดเสวนาออนไลน์เรื่องการบริหารวิกฤตโควิด ห่วง 3 ประเด็นหลัก ชี้มาตรการการดำเนินการของรัฐบาลเป็นเรื่องสำคัญ เสนอรัฐบาลคิดนอกกรอบ ไม่ยึดติดธรรมเนียบเดิม แก้วิกฤตโควิดและเศรษฐกิจประเทศ

ที่พรรคเพื่อไทย จัดงานเสวนาออนไลน์เรื่อง การบริหารวิกฤตโควิด-19 และสภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทย นำโดยนางนลินี ทวีสิน ประธานคณะทำงานต่างประเทศพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี

โดย นางนลินี กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด และมีความกังวลอย่างมาก 3 ประเด็นคือ 1.การจัดลำดับความสำคัญและประสิทธิภาพในการจัดการกับโรคระบาด 2.วิธีการจัดสรรและกระจายทรัพยากรเพื่อแก้ปัญหาและฟื้นฟูประเทศชาติ 3.ความโปร่งใสในการทำงานของรัฐบาล จึงจัดเสวนาครั้งนี้ขึ้นเพื่อสะท้อนปัญหาการบริหารจัดการโควิด-19 ของรัฐบาล

ด้าน นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า วิกฤตโควิด-19 ทำให้เกิดปรากฎการณ์ “วิกฤตสองต่อ” คือวิกฤตโควิด-19 และต่อด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ หลายประเทศผ่านไปได้เมื่อรัฐสามารถจัดหาและกระจายวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพทันเวลา ดังนั้นมาตรการดำเนินการของรัฐบาลจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว อาจไม่ได้เผชิญแค่วิกฤตสองต่อ แต่ต้องเผชิญวิกฤตต่อที่ 3 คือ “วิกฤตรัฐบาลบริหารผิดพลาด” เพราะไม่สามารถวางแผนควบคุมโรคและกระจายวัคซีนเพื่อรับมือกับวิกฤตโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งนี้จะนำสู่วิกฤตต่อที่ 4 คือ “วิกฤตการเมืองครั้งใหญ่” เพราะประชาชนหมดไม่ไว้วางใจและหมดความเชื่อมั่นในรัฐบาลจากความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

กิตติรัตน์ ณ ระนอง

ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน จีดีพีมีอัตราการเติบโตที่ช้ากว่าหนี้สาธารณะแม้ก่อนการระบาด การว่างงานสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด จุดอ่อนของการคลังคือหนี้สาธารณะที่สูงจนเกือบชนเพดาน ฐานะการคลังอ่อนแอจนเสี่ยงเข้าสู่วงจรอุบาทว์ หากรัฐยังไม่สามารถควบคุมโรคระบาดและยังไม่สามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึงได้ เศรษฐกิจไทยจะใช้เวลาฟื้นตัวอย่างน้อย 4 ปี ซึ่งเป็นเวลาหลังจากมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป และมีรัฐบาลใหม่ที่เข้าใจวิธีแก้ปัญหา ทั้งนี้เพื่อไทยเสนอให้รัฐบาลคิดนอกกรอบและไม่ยึดติดกับขนบธรรมเนียมเดิม ๆ เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างได้ผลทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังที่เกื้อหนุนกัน กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การแก้ไขกฎระเบียบ และการแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน และ ภาครัฐ-ประชาชน

ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก นั้น รัฐบาลไม่ได้นำประเทศไปในทิศทางที่ถูกต้อง ดังจะเห็นได้จาก พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านที่กำลังอภิปรายอยู่ในสภาไม่ได้มีการใช้งบประมาณเพื่อแก้วิกฤตโควิดที่รากเหง้าอย่างเพียงพอ สำหรับมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจรัฐบาลควรพิจารณาให้ “เงินกู้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ย” เมื่อถึงมือภาคธุรกิจ และภาคประชาชน โดยผู้รับภาระคือธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์ แทนมาตรการทางการคลังที่กำลังอ่อนแอ และไม่มีประสิทธิภาพอย่างในปัจจุบัน พร้อมลดภาระภาษีเพื่อให้ประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แม้รัฐจะมีรายได้รวมลดลง

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube