รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำ ความสัมพันธ์การค้าไทย-จีนเติบโตต่อเนื่อง พร้อมร่วมมืออำนวยความสะดวกมากขึ้น
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ว่า ความสัมพันธ์ไทยจีนนั้นมีมาต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างกัน ในปี 2563 ไทย-จีน มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 2.49 ล้านล้านบาท หรือ เกือบ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับปี 2564 ในช่วง 9 เดือนแรก มีมูลค่ากว่า 2.41 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 32 เฉพาะตัวเลขการส่งออกของไทยไปจีนมีมูลค่ากว่า 8.7 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 27
โดยการหารือในวันนี้มีความเห็นตรงกันที่จะจัดการประชุม JC หรือ คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ระหว่างกันโดยเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ทางการค้า การลงทุนและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน รวมถึงต้องการเร่งให้ RCEP มีผลบังคับใช้ ซึ่งจะต้องมีสมาชิกอาเซียน 6 ประเทศ และสมาชิกนอกอาเซียนอย่างน้อย 3 ประเทศให้สัตยาบัน ซึ่งไทยได้ยื่นให้สัตยาบันไปแล้วเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา และจะร่วมมือกันเร่งรัดให้ข้อตกลง RCEP มีผลบังคับโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ของประเทศสมาชิกทั้ง 15 ประเทศ
ความร่วมมือกันในการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกัน รวมทั้งเรื่องของรถไฟความเร็วสูงด้วย ที่จีนได้แจ้งว่ารถไฟจากจีนไปลาวเปิดให้บริการแล้ว และจะร่วมมือกับไทยในการเร่งสร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางที่จะเชื่อมลาวเพื่อให้ระบบการขนส่งสินค้าเข้าออกระหว่างกันนั้นมีความคล่องตัวและเพิ่มมูลค่าได้มากขึ้นโดยเร็ว และความร่วมมือกันในการนำเข้าส่งออกสินค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากไทย พร้อมอำนวยความสะดวกมากขึ้น
โดยได้ขอให้มีการเร่งเปิดด่าน 2 ด่านที่ปิดไปในช่วงโควิด-19 คือ ด่านโมฮาน ที่เป็นด่านทางบกเริ่มต้นจากเชียงของทางเหนือของไทยผ่านบ่อเต็นไปเข้าจีนทางยูนนาน ตอนใต้ และด่านกวนเหล่ยหรือท่าเรือกวนเหล่ย และเรื่องข้าวซึ่งจีนกับไทยมี MOU อยู่ 1 ล้านตัน โดยจีนนำเข้าไป 7.2 แสนตัน ค้างอยู่อีก 2.8 แสนตัน จึงขอให้จีนเร่งดำเนินการให้ครบถ้วนตาม MOU ต่อไป
“จุรินทร์”ย้ำจุดยืนประชาธิปัตย์ ยึดมั่นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่แก้ไม่เปลี่ยนแปลง 112
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองให้ยกเลิกมาตรา 112 นั้น สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ตนได้ยืนยันไปชัดเจนหลายครั้งว่า ทิศทาง จุดยืน คือ ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอันนี้มีความชัดเจน และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่สถานการณ์ของกฎเกณฑ์กติกาประเทศปัจจุบัน รัฐธรรมนูญยังเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไขไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น
ส่วนในเรื่องของมาตรา 112 นั้น พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีความคิดในการที่จะไปแก้ไขซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้พูดมาตลอดเพราะคิดว่าการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น มีความเหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศไทยของเรา
ดังนั้น สิ่งนี้เป็นจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรค ซึ่งเป็นสิ่งที่ยึดมั่นเสมอมา ส่วนอุดมการณ์ในเรื่องนี้ของพรรค ไม่ได้กำหนดตามสถานการณ์หรือเหตุผลในทางการเมือง แต่เป็นที่เป็นรากฐาน ที่มาของพรรค เพียงแต่ในเรื่องนโยบาย การบริหารราชการแผ่นดิน ในเรื่องการที่จะเข้าไปดูแลประเทศนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไปตามข้อเท็จจริง สภาพปัญหาที่เปลี่ยนไป และตามสถานการณ์ได้ แต่ถ้าเป็นอุดมการณ์ ก็ต้องเป็นสิ่งที่เรายึดมั่นแต่สิ่งใดที่จะต้องเปลี่ยน ก็พร้อมเปลี่ยน แต่ต้องเปลี่ยนอย่างมีวุฒิภาวะและต้องไม่ขัดกับอุดมการณ์ที่ได้ประกาศไว้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news