Home
|
เศรษฐกิจ

“จุรินทร์”ย้ำหมูหน้าเขียงโล210บ.ขายเกินแจ้ง1569

Featured Image
รมว.พณ. ย้ำ หมูหน้าฟาร์มกก.ละ100-110บ.ขายปลีกเนื้อสะโพก200-210บ.-ขอ3ห้างตรึงราคาไก่ใช้เป็นตัวชี้นำตลาด หากพบขายราคาสูงเกินแจ้ง1569 พร้อมส่งจนท.จับตามกม.

 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังร่วมประชุมคณะทำงานวอร์รูมแก้ปัญหาราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์ ว่า ที่ประชุมซึ่งมีแนวทางในการทำงาน 3 ด้าน คือการติดตามราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด แก้ไขปัญหาได้ทันทีทั้งในเรื่องของปริมาณและราคาสินค้า รวมถึงจะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด กรณีพบผู้กระทำความผิด

 

ล่าสุดได้มีการจัดชุดเฉพาะกิจบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 55 ชุดปฏิบัติการตามภารกิจของคณะทำงาน ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าหากมีผู้กระทำความผิดจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งการไม่ติดป้ายแสดงราคา การขายเกินราคาป้าย การกักตุน การค้ากำไรเกินควร

 

โดยการแก้ไขปัญหาราคาสินค้านั้น เนื้อหมู กระทรวงพาณิชย์ ได้ขอความร่วมมือสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ประกาศราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มที่กิโลกรัมละ 100-110 บาท ในขณะที่ราคาหน้าเขียงเนื้อแดงสะโพกจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 200-210 บาท ในขณะที่เนื้อหมูส่วนอื่นๆ เป็นไปตามสัดส่วนราคาที่เหมาะสมซึ่งราคาหมูสามชั้น สันนอก สันใน สันคอจะมีราคาสูงกว่าเนื้อหมูส่วนสะโพก

 

สำหรับปริมาณเนื้อหมูที่หายออกไปจากระบบนั้น เวลานี้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ กำลังเร่งบริหารจัดการป้อนลูกหมูเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง แต่จะมีการบริหารจัดการด้วยการนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศในช่วงระยะเวลาสั้นๆหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาตามความเหมาะสมกระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่ดูแลราคาปลายทางเท่านั้น

 

สำหรับการดูแลราคาเนื้อไก่หลังจากมีการประกาศเป็นสินค้าควบคุมแล้วนั้น เวลานี้กำลังเร่งออกมาตรการในการให้ผู้ผลิต เนื้อไก่แปรรูป และผู้ครอบครองต้องแจ้งสต๊อก มายังกรมการค้าภายใน และในเวลานี้ได้มีการขอความร่วมมือทางห้างค้าส่งค้าปลีก จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย Makro,Lotus,Big C ในการตรึงราคาเนื้อไก่ เพื่อใช้เป็นราคาชี้นำตลาด จนกว่าสถานการณ์จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยไก่สดทั้งตัว ราคากิโลกรัมละ 60-65 บาท น่องไก่ติดสะโพก ราคากิโลกรัมละ 60-65 บาท น่องไก่-สะโพก ราคากิโลกรัมละ 65-70 บาท และอกไก่ กิโลกรัมละ 70-75 บาท ในขณะที่ไก่เป็นหน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ 40 บาท

 

ในขณะที่การดูแลสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในหารือร่วมกับผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าโดยยังขอให้มีการตรึงราคาสินค้าไว้ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและไม่ให้เป็นการซ้ำเติมประชาชนผู้บริโภค

 

โดยสินค้าที่ได้มีการหารือและได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ตรึงราคาสินค้าไว้ ประกอบด้วยสินค้าซอสปรุงรสต่างๆ น้ำอัดลม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า และหากพบว่ามีผู้ค้ารายใดฉวยโอกาสขึ้นราคาโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1569 จะมีเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบพร้อมกับดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายขั้นเด็ดขาดทันที เพราะถือเป็นการซ้ำเติมประชาชนในช่วงที่สถานการณ์ ยังไม่อยู่ในภาวะปกติ

 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ยังเปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มบรรจุขวดเวลานี้ว่า เรื่องน้ำมันปาล์มต้องยอมรับว่ามีราคาสูงขึ้นจริงตามราคาผลปาล์มสดของเกษตรกรที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ในปัจจุบันราคาจากกิโลกรัมละ 2-3 บาท ปรับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 10-11 บาท เกษตรกรพอใจและสามารถแก้ปัญหาในฝั่งเกษตรกรได้เป็นอย่างดีแต่เมื่อราคาผลปาล์มสูงขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนของโรงสกัดและโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวดสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาขายปลีกสูงขึ้นตามไปด้วย

 

จึงได้มอบเป็นนโยบายให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการร่วมกัน คือ ทำอย่างไรให้ 3 ฝ่ายอยู่ด้วยกันได้ ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการและผู้บริโภค หาจุดสมดุลร่วมกัน โดยให้กรมการค้าภายในร่วมกับวอร์รูมแก้ปัญหาราคาสินค้ากระทรวงพาณิชย์ช่วยกัน ซึ่งทางกรมการค้าภายใน ระบุว่า ภายในสัปดาห์นี้จะมีข้อสรุปที่ชัดเจน

 

และที่จะเดินหน้าต่อไปคือรถโมบายพาณิชย์ ลดราคาช่วยประชาชน หลังจาก Lot16 จะหมดในวันที่ 31 มกราคม กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาโครงการให้เกิดความต่อเนื่อง เพราะโครงการดังกล่าวเป็นที่พอใจของประชาชนสามารถลดภาระค่าครองชีพได้จริง แต่สินค้าที่จะนำมาจำหน่ายนั้นจะมีการพิจารณาในสินค้าที่เหมาะสมต่อไป เพราะกระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปแทรกแซงตลาดเท่าที่จำเป็นและยังเปิดโอกาสให้กลไกตลาดตามปกติได้ทำงาน

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebookhttps://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitterhttps://twitter.com/innnews

Youtubehttps://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTokhttps://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account@innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube