Home
|
เศรษฐกิจ

โควิด-19ฉุดดัชนีModern Tradeไตรมาส4/63วูบ

Featured Image
หอการค้าไทย เผย ดัชนี Modern Trade ไตรมาส 4 ปี 63 ลดลงแตะ 47.3 โควิด-19 ทำกำลังซื้อผู้บริโภคหดตัว

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น Modern Trade ประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2563 พบว่า ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 47.3 ซึ่งเป็นดัชนีที่ลดลง เมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความกังวลของการระบาดจากไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างส่งผลกับชีวิตของประชาชน,ภาคธุรกิจ,เศรษฐกิจประเทศในอนาคต โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการต่างๆ การยกเลิกจัดงานปีใหม่ในหลายพื้นที่ ความกังวลต่อการสั่งล็อกดาวน์ ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจขาดรายได้ รวมถึงอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลกับกำลังซื้อของประชาชนให้ปรับลดลงและจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้การบริโภคไม่ขยายตัว

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันธุรกิจยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย จำนวนลูกค้าทั้งในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง กำลังซื้อและความถี่ในการซื้อสินค้าลดลง ต้นทุนในการดำเนินงานสูงขึ้นจากการดูแลความปลอดภัยของทั้งลูกค้าและพนักงาน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาการสั่งซื้อออนไลน์ให้ทันกับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน

 

ธนวรรธน์แนะรบ.ปรับมาตรการเศรษฐกิจให้เหมาะเชื่อเม็ดเงิน “เราชนะ” เห็นผล

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า นักวิชาการมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ปรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับการทำธุรกิจ โดยการเพิ่มวงเงิน ช๊อป ดี มีคืน เป็น 50,000 บาท สนับสนุนเอกชนในการจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ให้สามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีธุรกิจได้ การลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 10 เป็นเวลา 3 ปี และเพื่อรักษาสถานะการจ้างงาน เสนอให้สนับสนุนค่าจ้าง ร้อยละ 50 ให้กับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และอนุมัติการจ้างงานแบบรายชั่วโมงเพื่อสนับการจ้างงานเพิ่ม

พร้อมทั้งอยากให้ช่วยเหลือค่าใช้จ่าย เช่น การลดค่าน้ำ-ค่าไฟ ร้อยละ 50 เป็นเวลา 1 ปี การนำค่าใช้จ่ายในการป้องกันการระบาดของโควิด-19 มาลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า

โดยคาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการโครงการคนละครึ่ง ที่ยังไม่สิ้นสุด และ เราชนะ ที่จะมีเม็ดเงินเติมในระบบจะส่งทางอ้อมให้ร้านค้ารายย่อยที่ค้าขายดีขึ้น เข้ามาจับจ่ายในห้างค้าปลีกได้มากขึ้น เพราะเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่ง มีเงินของภาครัฐเพียง 45,000 ล้านบาท และจากประชาชนอีก 45,000 ล้านบาท แต่เราชนะ ยอดลงทะเบียนโครงการเราชนะแตะ8.3ล้านคน จะเห็นผลชัดเจนขึ้น เพราะมีเม็ดเงินถึง 2 แสนล้านบาท และธุรกิจค้าปลีกน่าจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

 

“สุชาติ” เผยนายกฯเห็นชอบช่วย ม.33 “โครงการเรารักกัน” รอเคาะรูปแบบจำนวนเงิน คาดเหมือน”ไทยชนะ”จ่ายผ่านแอปฯ จบวันศุกร์นี้

นาย สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า นายกรัฐมนตรี เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือแรงงานผู้ประกันตนมาตรา 33 “โครงการเรารักกัน” โดยนายกรัฐมนตรี อยากให้ครบทุกคนที่มีสิทธิดังกล่าว ส่วนเงินจะได้คนละเท่าไหร่และออกมาในรูปแบบไหนนั้นต้องรอหารือในรายละเอียดอีกครั้ง แต่เบื้องต้นรูปแบบจะเป็นเหมือนโครงการเราชนะ โดยนำเงินเข้าแอปพลิเคชั่นเป๋าตังค์ เพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย โดยยืนยันว่าคนในครอบครัวมาตรา 33 จะให้ทุกคนซึ่งมีอยู่ประมาณ 11 ล้านกว่าคน สำหรับเงื่อนไขผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าวนั้น นายกรัฐมนตรี ให้ความอนุเคราะห์ตามที่และกระทรวงแรงงานเสนอ คือ คงเหลือเงื่อนไขเดียว คือคนที่มีเงินฝากเกิน 5 แสนบาทจะไม่ได้รับสิทธิเพียงเงื่อนไขเดียว

นายสุชาติ กล่าวว่า เรื่องจำนวนเงินต้องกลับไปทำตัวเลขอีกครั้ง แต่อยู่ประมาณ 3,500-4,500 บาท โดยจะเป็นการแบ่งจ่ายเป็นรายสัปดาห์ เช่นเดียวกับ “เราชนะ” โดยอาจให้ประมาณ 1,000 บาทต่อสัปดาห์ โดยคาดว่าโครงการจะเริ่มจ่ายเงินให้ผู้ประกันตนได้ภายในเดือน มี.ค.

ทั้งนี้นายสุชาติ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องเงินชดเชยมาตรา 33 จะได้ข้อสรุปภายในวันศุกร์นี้ โดยจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเร็วสุดภายในสัปดาห์หน้า หากไม่ทันก็ถัดไปอีกสัปดาห์หนึ่ง โดยหลังจากนี้จะมีการเปิดให้ลงทะเบียนออนไลน์ ส่วนคนที่มีแอปฯ เป๋าตังค์อยู่แล้วก็ต้องลงทะเบียนออนไลน์เพื่อยืนยันสิทธิ์เช่นเดียวกัน โดยย้ำว่าผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องเข้าหลักเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ เป็นคนไทย ,มีเงินฝากในบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท และเป็นผู้ประกันตนในมาตรา 33 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้รับสิทธิ์ที่เข้าเงื่อนไขนี้ประมาณ 9 ล้านคน

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube