บอร์ดอีอีซี ลุยเพิ่มความสะดวกประกอบธุรกิจ จัดระบบ One Stop Service ดันใช้ประโยชน์ 5G พร้อมรับทราบโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ที่ประชุมได้เร่งรัดให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงเพิ่มความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เช่น การจัดระบบบริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ One Stop Service และ Single Window อำนวยความสะดวกพิธีการศุลกากรต่างๆ การกำหนดอัตราภาษีที่ชัดเจนสำหรับอุตสาหกรรมและธุรกิจใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ให้เกิดการลงทุนรวมอุตสาหกรรมใหม่
ขณะเดียวกันจะผลักดันการใช้ประโยชน์จาก 5G และการลงทุนพัฒนาระบบ 5G ในพื้นที่อีอีซีประกอบด้วย 1.ด้านโครงสร้งพื้นฐาน : จากสัญญาณสู่ข้อมูลกลาง ติดตั้งแล้วเกิน 80% ของพื้นที่ 2.ด้านการใช้ประโยชน์ : ก้าวสู่ดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มผู้ใช้ 5G ในภาคการผลิต ผลักดันภาคธุรกิจ โรงงานในพื้นที่อีอีชี 10,000 แห่ง โรงแรม 300 แห่ง หน่วยราชการ สถานศึกษา โรงพยาบาล กลุ่ม SMEs ให้มาใช้ 5G พร้อมเริ่มนำร่องใช้ 5G บริเวณสัตหีบ สนามบินอู่ตะเภา นิคมฯ มาบตาพุด และบ้านฉาง 3.ด้านการพัฒนาบุคลากร 4.ด้านการมีส่วนร่วม และประชาสัมพันธ์สร้างการมีส่วนร่วมให้แก่ทุกภาคส่วน ให้เกิดการรับรู้การใช้ประโยชน์จาก 5G และร่วมพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานในส่วนของโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) เพื่อรองรับการพัฒนาภาคเกษตรในพื้นที่ EEC โดยเมื่อวันที่ 25 มกราคม2564 ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจจัดทำระบบห้องเย็นระหว่าง สกพอ., บมจ.ปตท. (PTT) และ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อเกิดกลไกความร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยีห้องเย็นที่ทันสมัย
ทั้งนี้ กรอบการขับเคลื่อนโครงการอีอีซีจะดำเนินการ 4 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) ศึกษาความต้องการตลาด 2) วางระบบการค้าใหม่ ผ่าน e-commerce และ e-Auction 3.) จัดทำระบบห้องเย็นรักษาคุณภาพผลไม้ให้ส่งขายตลอดปี และ 4.) จัดระบบสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องใช้เทคโนโลยีพัฒนาผลผลิตให้ได้มาตรฐาน ตรงความต้องการ
บอร์ดอีอีซี เร่งรัดส่งมอบพื้นที่สร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินใน มี.ค. นี้ ขณะการเวนคืนอยู่ระหว่างทำสัญญาคาดช้าสุด ก.ย. 64
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) รับทราบการลงนาม MOU ศึกษาการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) ระหว่าง การท่าเรือฯกับ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ร่วมกันศึกษาแนวทางการลงทุน รูปแบบการให้บริการขนส่ง กำหนดแผนงานที่เหมาะสมการพัฒนาท่าเรือบก ในเขตพื้นที่ Amata Smart & Eco City ใน สปป.ลาว ไปยังท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อเชื่อมต่อระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย ให้เป็นโครงข่ายการขนส่งสินค้า เปิดประตูการค้าให้ สปป. ลาว ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลและสนับสนุนโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โดยพัฒนาท่าเรือบกให้เป็นโครงข่ายเชื่อมโยงโลจิสติกส์ขนส่งสินค้าจากประเทศจีน สปป.ลาว และประเทศไทยอย่างไร้รอยต่อ เพื่อจูงใจนักลงทุนสร้างประโยชน์ให้ประเทศและประชาชนสูงสุด
นอกจากนี้ ได้เร่งรัดส่งมอบเปิดพื้นที่ก่อสร้างเสร็จตามแผนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยเฉพาะการรื้อย้ายสาธารณูปโภค เพื่อเปิดพื้นที่ก่อสร้างซึ่งคาดว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยพร้อมสามารถส่งมอบพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ภายในเดือนมีนาคม 2564 และการส่งมอบพื้นที่เวนคืนอยู่ในขั้นตอนการทำสัญญาซื้อขายโดย รฟท. ซึ่งจะส่งมอบพื้นที่อย่างช้าภายในเดือนกันยายน 2564
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news