สธ. แถลง ป่วยโควิด-19 กลับรักษาภูมิลำเนาแล้วกว่า 9.4 หมื่นราย ยัน เตียงเพียงพอต่อการรักษา
วันนี้ ( 5 ส.ค. 64 ) เวลา 13.30 น. นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข แถลงถึงกรณีการบริหารจัดการนำ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา ว่า จากการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 64 โดยแยกเป็น 12 เขตสุขภาพ ได้แก่
– ภาคเหนือ เขตสุขภาพที่ 1, 2, 3
– ภาคกลาง เขตสุขภาพที่ 3, 4, 5, 6
– ภาคตะวันออก เขตสุขภาพที่ 6
– ภาคอีสาน เขตสุขภาพที่ 7, 8, 9, 10
– ภาคใต้ฝั่งอันดามันและอ่าวไทย เขตสุขภาพที่ 11
– ภาคใต้ชายแดน เขตสุขภาพที่ 12
พบว่ามีผู้ประสงค์กลับไปรักษาที่ภูมิลำเนาแล้วกว่า 94,664 ราย เป็นข้อมูลเฉพาะผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระบบ แต่ความเป็นจริงอาจมีคนเดินทางมากกว่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่กว่าครึ่งจะอยู่ที่ภาคอีสานที่อยู่ในเขตสุขภาพที่ 7-10 จำนวนกว่า 53,897 ราย ทั้งนี้ หากมีความประสงค์ให้ปฏิบัติตาม 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ผู้ป่วยติดต่อและเดินทางกลับด้วยตนเอง
ขั้นตอนที่ 2 จังหวัดมีมาตรการและกระบวนการของตนเอง
ขั้นตอนที่ 3 ท้องถิ่นดำเนินการจัดหารถมารับกลับ
ขั้นตอนที่ 4 ส่งกลับจากนโยบายภาครัฐโดยความร่วมมือของภาครัฐเอกชน และภาคเครือข่าย
นพ.ธงชัย ยังกล่าวว่า หากประชาชนต้องการการกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา ให้ติดต่อประสานงานล่วงหน้าเพื่อประเมิน สถานการณ์ก่อนว่าเป็นผู้ป่วยประเภทใด และยังพบว่ามียังมีบ้างประปรายในกรณีที่ เดินทางไปถึงพื้นที่โดยไม่แจ้งซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงในการแพร่เชื้อต่อบุคคลอื่นได้ แนะนำให้ประสานเจ้าหน้าที่ก่อน
ส่วนกระบวนการกลับไปรักษาภูมิลำเนาในขณะนี้ยังมีอยู่ หากต้องการกลับไปรักษาในภูมิลำเนาให้ปฏิบัติตาม 4 ขั้นตอนข้างต้น หรือลงทะเบียนและประสานงานได้ที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สป.สช.) โดยทาง สป.สช. จะประสานกระทรวงสาธารณสุข , สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ , กองทัพบก , กระทรวงคมนาคม , เพื่อจัดรถรับผู้ป่วยกลับไปรักษาพร้อมมีแพทย์วิดีโอคอลให้คำปรึกษาระหว่างการเดินทาง
ส่วนขั้นตอนเมื่อไปถึงภูมิลำเนาแล้วจะดำเนินการอย่างไรนั้น นพ.ธงชัย ระบุว่า ขั้นตอนสำคัญคือการประเมินสภาพผู้ป่วยเบื้องต้นเพื่อแยกอาการความรุนแรง หากประเมินแล้วพบว่าเป็นผู้ป่วยสีเขียว หรือผู้ป่วยติดเชื้อไม่มีอาการพิจารณารักสาตรวจในระบบ Home Isolation (HI) , Community Isolation (CI) ,โรงพยาบสนาม , Hospitel และ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ซึ่งพบว่าในบางจังหวัดผู้ว่าราชการประจำจังหวัดได้สั่งการให้มี CI ประจำอำเภอด้วย ด้านผู้ป่วยสีเหลือง หรือผู้ป่วยติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรงพิจารณารักษาตัวในโรงพยาบาลชุมชน และหากพบว่าเป็นผู้ป่วยสีแดงหรือผู้ป่วยติดเชื้อที่อาการรุนแรงพิจารณาให้รักษาตัวในโรงพยาบาล และโรงพยาบาลศูนย์
ส่วนจำนวนเตียงที่จะรับผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดเพียงพอหรือไม่นั้น นพ.ธงชัย ระบุว่า ภาพรวมจำนวนเตียงในเขตสุขภาพ 12 เขต ยกเว้น กทม.มีเตียงอยู่ทั้งหมด 156,189 เตียง ปัจจุบันใช้ไป 114,786 เตียง คิดเป็น 73.49% มีเตียงว่างเหลือ 41,185 เตียง ซึ่งหากเป็นเตียงสีเขียว มีโอกาสในการจัดการได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ HI , CI ซึ่งในบางจังหวัดอาจมีพื้นที่ที่สามารถนำมาแยกกักกันได้ ส่วนเตียงสีเหลืองอาจมีความยากขึ้น แต่ว่ายังคงมีวิธีการจัดการ ส่วนใหญ่จะใช้โรงพยาบาลที่มีอยู่ในพื้นที่
และหากว่าในบางจังหวัดมีผู้ป่วยจำนวนมากอาจจะนำโรงพยาบาลมาเป็นโรงพยาบาลเฉพาะการรักษาโควิด-19 ส่วนคนไข้ในระแวกนั้นก็ให้ไปใช้บริการในโรงพยาบาลใกล้เคียงโดยดูเส้นทางและความเป็นไปได้ในการจัดระบบ ด้านเตียงผู้ป่วยสีแดงคือสิ่งที่ยากเนื่องจากว่าเป็นผู้ป่วยหนัก อาจมีความจำเป็นต้องใช้ออกซิเจน บางคนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ทำให้การเตรียมการดูแลกลุ้มนี่ค่อนข้างมีข้อจำกัด เนื่องจากว่าโดยปกติจะมีผู้ป่วย ICU ที่ต้องดูแลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเตียงที่รองรับผู้ป่วยสีแดงอัตราครองเตียงอยู่ที่ 75% ยังคงมีเหลืออยู่บ้างประมาณ 1,000 เตียงในภาพรวม และอาจสามารถช่วยกันได้ในเขตสุขภาพ เช่น อาจมีการส่งผู้ป่วยข้ามเขตสุขภาพเพื่อรับการรักษาได้
นพ.ธงชัย ยังกล่าวว่า ด้วยวิธีการจัดการบริหารกำลังคน ในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าของกระทรวงสาธารณสุข (สธ. )ยังสามารถให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงได้อยู่ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์โดยปกติก็มีภาระงานอยู่แล้ว แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 อาจมีภาระงานสูงขึ้น แต่ว่ายังพอรับไหว อาจมีความเหนื่อยล้าบ้างเนื่องจากว่าโควิด-19 ต่อเนื่องยาวนาวมาจวนจะครบ 2 ปี ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่ให้ความมั่นใจว่าสามารถปฏิบัติหน้าที่ดูและประชาชนได้ ส่วนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 นั้น ฟรีทั้งหมดสำหรับคนไทย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news