ศบค. คงล็อกดาวน์ 18-31 ส.ค. ยัง WFH ต่อเนื่อง ธนาคารเปิดได้ -เร่งดีลวัคซีนฉีดประชาชน
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) แถลง ภายหลังการประชุมสปก.ชุดใหญ่ ว่า ที่ประชุม ศบค.ได้มีการประเมินผลมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 โดยเปรียบเทียบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่กับตัวเลขคาดการณ์จากมาตรการ ล็อกดาวน์ ภาพรวมประเทศ สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้หากมีการเพิ่มมาตรการ โดยทางกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอให้มีการปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโควิด-19 ทุกพื้นที่ ให้คงระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร และตามมาตรการเดิมตั้งแต่วันที่ 18-31 ส.ค. 64
พร้อมเพิ่มมาตรการและการ จัดการของ องค์กรได้แก่ ดำเนินมาตรการ Test-Trace-Isolate อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เพิ่มการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโดยใช้ ATK ในพื้นที่กทม. และปริมณฑลและเตรียมทีม CCRT ให้เพียงพอและจัดระบบการนำเข้าสู่ HI CI หรือ โรงพยาบาล
ส่วนมาตรการองค์กร สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดให้เน้น WFH ต่อเนื่อง และพนักงานของภาครัฐและเอกชนที่จำเป็นต้องมาปฏิบัติงานให้มีการคัดกรองด้วย RTK ทุกสัปดาห์ เพื่อให้มีความพร้อมก่อนการคลายล็อกดาวน์ พร้อมเตรียม Company Isolation สำหรับหน่วยงานที่มีพนักงานเกิน 50 คนและเตรียมความพร้อม ของงานบุคลากรในการติดตามการคัดกรองด้วย RTK และลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ HI-CI รวมทั้งกำกับติดตาม DMHTTA
นอกจากนี้ ในการเพิ่มมาตรการและการจัดการขององค์กร จะต้องมีมาตรการควบคุมโรคเฉพาะสถานที่สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ของโรงงาน สถานประกอบการ ที่มีพนักงานเกิน 100 คน ให้พิจารณาดำเนินการ BB&S เต็มรูปแบบ ขณะที่ตลาดค้าส่งขนาดใหญ่ ให้คัดกรอง ผู้ค้าแรงงาน ทุกสัปดาห์ และสุ่มตรวจผู้มาใช้บริการด้วย ATK รวมทั้งกำกับติดตาม DMHTTA
สำหรับมาตรการลดการเสียชีวิตให้เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ทุกกลุ่ม อย่างน้อย 80% ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล 70% เป็นอย่างน้อยใน 12 จังหวัด และในพื้นที่อื่น อย่างน้อย 50% พร้อมเพิ่มอัตราการหมุนเวียนการรับผู้ป่วยสีเหลือง สีแดง เพื่อลดผู้ป่วยอาการหนักคงค้างในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม และไม่ให้ค้างในชุมชนซึ่งต้องมีระบบรองรับที่มีประสิทธิภาพและเร่งจ่ายยาฟาวิพิราเวียสำหรับผู้ป่วยสีเขียวในระบบ HI-CI
ศบค. ให้พื้นที่แดงเข้ม เปิดธนาคาร – สถาบันการเงินในห้างได้ไม่เกิน 20.00 น. แต่ยังคงอนุญาตร้านอาหาร-เครื่องดื่ม บริการแบบเดลิเวอรี่เท่านั้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ครั้งที่ 12/2564 ผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่าที่ประชุม ศบค. ได้พิจารณากำหนดมาตรการในพื้นที่ต่างๆ โดยในพื้นที่สีแดงเข้ม ให้เลี่ยงจำกัดหรืองดเว้นการเดินทางออกนอกเคหสถานหรือที่พำนักโดยไม่จำเป็น ห้ามออกนอกเคหะสถานในเวลา 21.00-04.00 น. งดการให้บริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด การตั้งด่านสกัดระหว่างเขตจังหวัดตามมาตรการที่กำหนด ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 5 คน ห้ามบริโภคภายในร้านอาหารขายได้แบบนำไปบริโภคที่อื่นและเปิดให้บริการไม่เกิน 20.00 น. และงดการจำหน่าย-ดื่มสุราภายในร้าน
ขณะที่ห้างสรรพสินค้า ยังคงเปิดได้เฉพาะร้านอาหารเครื่องดื่ม โดยใช้บริการผ่านเดลิเวอรี่เท่านั้น และอนุญาตให้เปิดร้านขายยา เวชภัณฑ์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ธนาคาร สถาบันการเงิน โดยเปิดไม่เกินเวลา 20.00 น. ทั้งนี้ ยังคงปิดสถาบันเสริมความงาม ห้ามใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และปิดสถานที่แข่งขันกีฬาทุกประเภท
ขณะที่พื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด ให้ตั้งจุดตรวจด่านตรวจหรือจุดสกัดเพื่อคัดกรองการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มคนมากกว่า 20 คน อนุญาตให้สามารถขายอาหารได้ ไม่เกินเวลา 23.00 น. แต่งดจำหน่ายสุรา-ดื่มสุรา ภายในร้าน ขณะที่ห้างสรรพสินค้าให้เปิดบริการได้ตามปกติ จำกัดจำนวนคนและงดกิจกรรมการส่งเสริมการขาย สถาบันเสริมความงามให้เปิดบริการได้ตามปกติ ตามมาตรการที่ราชการกำหนด ให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนของคนจำนวนมากโดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด ขณะที่สนามกีฬาเปิดบริการได้ทุกประเภทไม่เกิน 21.00 น. การจัดการแข่งขันได้แต่ต้องจำกัดจำนวนผู้ชม
ส่วนพื้นที่สีส้มหรือพื้นที่ควบคุมไม่มีการจำกัดการเดินทางแต่อย่างใด แต่ห้ามจัดกิจกรรมการรวมกลุ่มคนมากกว่า 50 คน สามารถบริโภคในร้านอาหารได้ตามปกติ เว้นการจำหน่ายและดื่มสุราภายในร้าน ด้านห้างสรรพสินค้าเปิดบริการได้ตามเวลาปกติ แต่ปิดในส่วนเครื่องเกมสวนสนุก ขณะที่สถาบันเสริมความงามเปิดบริการได้ตามปกติตามมาตรการที่ราชการกำหนด ส่วนการเรียนการสอนให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติภายใต้มาตรการการป้องกันโรคที่ราชการกำหนด ส่วนการแข่งขันหรือสนามกีฬาสามารถเปิดบริการได้ตามเวลาปกติทุกประเภท และจัดการแข่งขันได้โดยจำกัดผู้ชม
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news