กรมวิทย์ฯ ร่วมกับ ศิริราช เปิดผลข้อมูลล่าสุด “วัคซีนสลับและวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3” ต่อไวรัสสายพันธุ์เดลตา
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับ รพ.ศิริราช แถลงประเด็นภูมิคุ้มกัน เมื่อฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับยี่ห้อ หลังมีการตั้งคำถามเกิดขึ้นว่าการฉีดวัคซีนสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ถ้ามีการสลับการให้วัคซีน (Mix and Match) รวมถึงการฉีดกระตุ้นเข็ม 3 โดยทำการศึกษาระดับภูมิคุ้มกันในซีรั่มของคนที่ได้รับวัคซีนโดยใช้ไวรัสสายพันธุ์จริงที่กำลังระบาดในประเทศไทย คือ สายพันธุ์เดลตา หรือสายพันธุ์อินเดีย ซึ่งพบในการติดเชื้อกว่า 90% ทำการทดสอบโดยวิธีมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วไปคือวิธี PRNT ซึ่งต้องปฏิบัติในห้องชีวนิรภัยระดับ 3 เพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อหาค่าที่ไวรัสสายพันธุ์เดลตาถูกทำลาย 50% โดยแอนติบอดีที่เกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน ผลการศึกษาการให้วัคซีนสลับแบบซิโนแวคกับเอสตร้าฯมีภูมิคุ้มกันสูงกว่าการให้วัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม และเทียบเท่ากับการให้เอสตร้าฯ 2 เข็ม แต่ใช้เวลาสั้นลง แต่ไม่แนะนำให้ฉีดเอสตร้าฯเข็มแรกและตามด้วยซิโนแวค,ส่วนการกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยเอสตร้าฯหลังได้รับซิโนแวค2เข็ม สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพิ่มมากขึ้นถึง 11 เท่า ในขณะที่กระตุ้นเข็ม 3 ด้วยซิโนฟาร์มที่เป็นวัคซีน เชื้อตายเหมือนกัน ให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้นเพียง 2.5 เท่า
จากข้อมูลทั้งหมดแสดงให้เห็นว่านโยบายของรัฐบาลแผนการให้วัคซีนมีความเหมาะสม โดยให้ฉีดแบบสลับ (SV+AZ) และให้ฉีดเข็ม 3 ด้วยเอสตร้าฯ(SV+SV+AZ) โดยการศึกษาต่อไปกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะทำการตรวจสอบระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เบตา โดยใช้ไวรัสจริงเพื่อสร้างความมั่นใจต่อการใช้วัคซีนสลับและการฉีดกระตุ้นเข็ม 3 และเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการให้วัคซีนที่เหมาะสมโดยให้ประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชนต่อไป
ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ศึกษาติดตามผู้ได้รับวัคซีนซิโนแวค เข็มแรก 3 สัปดาห์และรับเข็มสองเป็นเอสตร้าฯทั้งหมด 125 ราย อายุเฉลี่ย 40 ปี พบว่า มีระดับภูมิคุ้มกันขึ้น เฉลี่ยที่ 716 สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับซิโนแวค2เข็มและเอสตร้า2เข็ม ส่วนผลข้างเคียงใกล้กับอาการจากการฉีดเอสตร้าฯ2เข็ม แสดงให้เห็นว่าการฉีดสลับไขว้ไม่ได้อันตรายอะไร
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news