ครม. ช่วยกลุ่มคนขับรถแท็กซี่/วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ใน 29 จังหวัด อนุมัติกรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท เร่งจ่ายเยียวยาภายในเดือนพฤศจิกายน นี้
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบโครงการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบและไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด แบ่งเป็น ผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) 12,918 คน และผู้ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ 3,776 คน รวม 16,694 คน โดยจะสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ คนละ 5,000 บาทต่อเดือน ภายใต้กรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพเป็นระยะเวลา 2 เดือน ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัดเพิ่มเติม สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพระยะเวลา 1 เดือน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมถึงวิธีการลงทะเบียนร่วมโครงการฯ ว่า กรมการขนส่งทางบกจะเปิดให้มีการลงทะเบียนตามหลักเกณฑ์ของโครงการฯ และดำเนินการตรวจสอบข้อมูลผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่มีอายุเกิน 65 ปี จากฐานข้อมูลใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (รถแท็กซี่) และใบอนุญาตขับ รถจักรยานยนต์สาธารณะ สำหรับกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่เช่าที่ไม่สามารถตรวจสอบพื้นที่ให้บริการได้ จะต้องทำการตรวจสอบยืนยันตัวตนก่อน เช่น ให้นิติบุคคลรถเช่า/สหกรณ์แท็กซี่เป็นผู้รับรอง เป็นต้น ซึ่งกรมการขนส่งทางบกจะจ่ายเงินด้วยวิธีการโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (Promptpay) เฉพาะการผูกบัญชีกับเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือตามวิธีการอื่นที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด คาดว่าจะจ่ายเงินรอบแรกระหว่างวันที่ 8 – 12 พฤศจิกายน และจ่ายเงินรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 – 26 พฤศจิกายน
“โครงการฯ ดังกล่าวจะช่วยรักษาคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้างและรถจักรยานยนต์สาธารณะ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งเป็นการช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ เนื่องจากระบบการขนส่งสาธารณะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งระบบนิเวศธุรกิจด้านการขนส่งด้วยรถสาธารณะ ที่จะส่งผลให้ประชาชนยังคงได้ใช้บริการรถสาธารณะที่มีคุณภาพ มีความครอบคลุมในพื้นที่อย่างปลอดภัยต่อไป”
รัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SMEs เร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ยังขาดทุน ย้ำไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ SMEs และเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังขาดทุน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และรัฐบาลให้ความสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3.1 ล้านราย และให้ส่วนราชการสนับสนุน smes ในการเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของงบประมาณ พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ผลักดันการวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย โดยใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของไทยในการส่งเสริมผู้ประกอบการSMEs
ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรี ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมนี้ จะมีการเลื่อนประชุมจากวันอังคารที่ 26 ตุลาคม เป็นวันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม เนื่องจากมีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
นอกจากนั้น ในสัปดาห์หน้าจะมีวันหยุดยาวถึง 4 วันต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีได้ฝากเตือนประชาชน ให้ช่วยกันป้องกันตัวเองตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคล เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด -19 ในช่วงวันหยุด
นายกฯบอกยังมีเวลาเตรียมเปิดประเทศ ย้ำการ์ดอย่าตก ส่วนเกรณีมีการถอดถอน 3 เจ้าคณะจังหวัด เป็นเรื่องที่ดำเนินการตามมติของมหาเถรสมาคม
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนแทนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับ แนวทางการเปิดประเทศ ว่า นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่าขณะนี้ยังพอมีเวลาในการเตรียมการ ช่วงนี้ขอให้ประชาชนธุรกิจผู้ประกอบการและส่วนที่เกี่ยวข้อง การ์ดอย่าตก อย่าฝ่าฝืนมาตราการ ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดเกิดขึ้นรุนแรงอีกครั้ง
ส่วนกรณีมีการถอดถอน 3 เจ้าคณะจังหวัด และกรณีของพระมหาสมปอง ที่ขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ โดยมีประชาชนทั้งสนับสนุนและคัดค้านนั้น รัฐบาลได้มีแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตศรัทธาพระพุทธศาสนา นั้น นายกรัฐมนตรี มีการชี้แจงว่า เป็นเรื่องที่ดำเนินการตามมติของมหาเถรสมาคมและให้สำนักงานพระพุทธศาสนาดำเนินการ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news