“อนุทิน” มอบนโยบาย สธ.ปี 65 เตรียมพร้อมเปิดประเทศ
“อนุทิน” มอบนโยบาย สธ.ปี 65 เตรียมพร้อมเปิดประเทศ ฟื้นเศรษฐกิจ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารฯ ได้ร่วมในพิธีมอบนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2565 ถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ผู้บริหารของกระทรวง ในพื้นที่ต่างๆ รับทราบนโยบายร่วมกัน
โดยนายอนุทิน กล่าวว่า ตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ตนและกระทรวงสาธารณสุข ต้องเจอความท้าทายมาโดยตลอด ทั้งฝุ่น PM 2.5 น้ำท่วม และวิกฤตโควิด 19 ซึ่งปัจจัยที่ทำให้การสาธารณสุขไทยประสบความสำเร็จ คือ พลังของคนสาธารณสุขที่ร่วมกันทำงานทั้งระดับนโยบาย หน่วยงาน จังหวัด และพื้นที่ โดยได้รับความร่วมมือ จากบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกภาคส่วน รวมถึง อสม. ที่ทุ่มเททำงานหนัก
ส่วนฝ่ายผู้บริหาร ได้เห็นความมุ่งมั่นและหาทางตอบแทนคนทำงาน โดยได้ขับเคลื่อนการบรรจุข้าราชการใหม่ในสังกัด 45,242 ตำแหน่ง และได้ให้ค่าตอบแทนเงินเพิ่มพิเศษ 7 เดือน แก่ อสม. และพยายามจะผลักดัน ให้มีการจ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2565 คือ ต้องอยู่กับโควิด 19 อย่างปลอดภัย และเศรษฐกิจ ก็ต้องไปต่อได้ด้วย
ทั้งนี้ ขอให้บุคลากรทุกคนยึดมั่นแนวนโยบายของรัฐบาลและการสนองโครงการพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ทุกพระองค์เป็นภารกิจลำดับแรก การขับเคลื่อนระบบสุขภาพ ขอให้ยังเป็นไปตามวัตถุประสงค์ “ประชาชนแข็งแรง เศรษฐกิจไทยแข็งแรง ประเทศ ไทยแข็งแรง” มี 9 ประเด็นสำคัญ คือ
1.การใช้มาตรการสาธารณสุขขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยทุกมิติ
2.พัฒนาศักยภาพสถานพยาบาลของรัฐให้รองรับสถานการณ์วิกฤตโรคระบาด โรคอุบัติใหม่ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ
3.พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพการแพทย์ปฐมภูมิทั้งเขตชุมชนและเขตเมือง
4.พัฒนาและเสริมศักยภาพ รพ.สต.เป็นศูนย์การสาธารณสุขประจำตำบล
5.บูรณาการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุแบบองค์รวมครบด้าน ทั้งสมอง จิตใจ ฟัน ตาหู และหัวใจ
6.พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพงานบริการ ด้วยการต่อยอด 30 บาทรักษาทุกที่ เข้ารับบริการโดยไม่ต้อง มีใบส่งตัว
7.พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพการรักษามะเร็งทุกที่ ทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด และรังสีรักษา
8.พัฒนาพืชสมุนไพร กัญชา กัญชง กระท่อมและภูมิปัญญาไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้แก่ประชาชน
9.พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เป็นศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพประชาชน เพื่อเข้าถึงบริการสาธาณสุขส่วนบุคคลอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ตลอดเกือบปีที่ผ่านมา ได้สู้รบกับโควิด 19 ซึ่งเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัส มีแรงเสียดทานต่างๆ เข้ามา แต่สามารถตั้งสติ มุ่งมั่น ตั้งใจ และสามารถฝ่าวิกฤติไปได้ ในปีหน้า ประเทศไทย ต้องสามารถอยู่กับโรคให้ได้ และต้องอยู่อย่างปลอดภัย รัฐบาลจะต้องเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจ ประชาชน จะต้องกลับมาใช้ชีวิตได้ ทำมาหากินได้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะต้องเป็นหน่วยงานสำคัญในการผลักดันให้เกิดขึ้น ที่ผ่านมา มีการเตรียมพร้อมทั้งระบบการดูแลผู้ป่วย เวชภัณฑ์ วัคซีน ปีหน้าจะเร่งเติมเข็ม Booster ให้ได้ครอบคลุมที่สุด ก็หวังว่า ความทุ่มเทของเรา จะทำให้ประเทศไทยฟื้นตัว และยืนได้อย่างเข้มแข็งอีกครั้ง ต้องฝากพี่น้องชาวสาธารณสุข ร่วมแรงร่วมใจ และขอขอบคุณอย่างยิ่งกับความพยายามที่ผ่านมา
“อนุทิน” ไม่ขัด ตั้ง ศบค.จังหวัดชายแดนใต้ หวังบูรณาการทุกหน่วยงานสกัดโรค
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงประเด็นคำสั่งนายกรัฐมนตรี จัดตั้งชุดทำงานเพื่อดูแลโควิด 4 จังหวัดชายแดนใต้ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ สงขลา เป็นพิเศษ ว่า เป็นการบูรณาการความร่วมมือต่างๆ ด้านการสาธารณสุข การตั้งชุดทำงานก็เพื่อขอความร่วมมือด้านความมั่นคง เฝ้าระวังคนเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นความเสี่ยงการนำเชื้อภายนอกเข้าประเทศ ขณะเดียวกัน สถานการณ์โควิดใน 4 จังหวัดใต้ ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนและปลัด สธ. ได้ลงพื้นที่ไปก็เห็นความพร้อม และความสามารถในการให้บริการผู้ติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ ในพื้นที่มีความเพียงพอทั้งเวชภัณฑ์ ยา ทางส่วนการก็พร้อมสนับสนุน โดยภายในเดือน ต.ค.64 จะต้องฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายให้ครบ โดยกรมควบคุมโรคจะจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ไปให้อีก 4.8 แสนโดส ก็จะครบ 1 ล้านโดส ก็จะมั่นใจได้ว่าประชาชนจะมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น สถานการณ์ก็จะดีขึ้น
ทั้งนี้ การตั้ง ศบค.ส่วนหน้าขึ้นมานี้ มีการแบ่งงานชัดเจน กระทรวงสาธารณสุขดูแลเรื่องสุขภาพ แต่เรื่องการควบคุมไม่ให้ลักลอบเข้าเมือง ควบคุมพื้นที่ให้ปลอดภัยสูงสุด จึงจำเป็นต้องพึ่งพาฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
ส่วนความกังวลเรื่องนโยบายเปิดประเทศ ทางกระทรวงฯ ก็ได้มีการเตรียมความพร้อม การเดินทางเข้าประเทศ ก็ต้องเป็นไปตามที่กำหนด เช่น ต้องมีผลตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทาง ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดครบโดส มีใบรับรอง Fit-to-fly และเมื่อเดินทางถึงไทยต้องตรวจ RT-PCR ซ้ำอีกครั้งโดย 1 คืนแรกจะต้องพักรอผลตรวจในพื้นที่ที่เราติดตามได้ จากนี้ เมื่อตัดสินใจจะผลักดันนโยบาย ก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้น
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news