Home
|
เศรษฐกิจ

นายกฯร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน 26-28 ต.ค. นี้

Featured Image
นายกฯร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน 26-28 ต.ค. นี้ โดย ครม.เห็นชอบลงนามเอกสาร 22 ฉบับ ขับเคลื่อนความร่วมมือทุกมิติ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างเอกสารจำนวน 22 ฉบับ ที่จะรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และครั้งที่ 39 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 26 – 28 ต.ค.64 ที่ประเทศบูรไน ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุม ซึ่งการประชุมครั้งนี้ครอบคลุมความร่วมมือทุกด้าน เช่น การรับมือภัยพิบัติ การดูแลเยาวชน สุขภาพ โควิด-19 วัคซีน ความมั่นคง เศรษฐกิจ และความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาคและกับประเทศทวิภาคี อาทิ ASEAN-จีน, ASEAN-สหรัฐ, ASEAN-อินเดีย, ASEAN-รัสเซีย และASEAN-เกาหลี

สำหรับเอกสารทั้ง 22 ฉบับที่ ครม.เห็นชอบในวันนี้ เป็นของ 5 หน่วยงาน คือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงวัฒนธรรม ประกอบด้วย

1.ร่างเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ รวม 17 ฉบับ ดังนี้

(1)ร่างปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวันว่าด้วยข้อริเริ่มเชิงยุทธศาสตร์และองค์รวมเพื่อเชื่อมโยงการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติของอาเซียน (อาเซียน ชิลด์) (กระทรวงการต่างประเทศ)

(2)ร่างปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวันว่าด้วยความสำคัญของครอบครัวเพื่อการพัฒนาชุมชนและการสร้างชาติ (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

(3)ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการธำรงระบบพหุภาคีนิยม (กระทรวงการต่างประเทศ)

(4)ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยเศรษฐกิจภาคทะเล (กระทรวงการต่างประเทศ)

(5)ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการปรับสูตรและการผลิตอาหารและเครื่องดื่มทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ (กระทรวงสาธารณสุข)

(6)ร่างปฏิญญาว่าด้วยการขจัดการระรานเด็กในอาเซียน (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

(7)ร่างแถลงการณ์อาเซียน-รัสเซีย ว่าด้วยการสร้างภูมิภาคที่เป็นปึกแผ่น มั่นคง และยั่งยืน (กระทรวงการต่างประเทศ)

(8)ร่างแถลงการณ์อาเซียน-รัสเซีย ว่าด้วยความร่วมมือในด้านการรับมือและต่อต้านปัญหายาเสพติดโลก (กระทรวงการต่างประเทศ)

(9)ร่างแถลงการณ์ผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการฟื้นฟูการท่องเที่ยว (กระทรวงการต่างประเทศ)

(10)ร่างแถลงการณ์ผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขภาพจิต (กระทรวงการต่างประเทศ)

(11)ร่างแถลงการณ์ผู้นำอาเซียน – สหรัฐฯ ว่าด้วยการพัฒนาด้านดิจิทัล (กระทรวงการต่างประเทศ)

(12)ร่างแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนบวกสาม ว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขภาพจิตในวัยรุ่นและเด็ก (กระทรวงสาธารณสุข)

(13)ร่างแถลงการณ์ผู้นำการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่าด้วยการฟื้นฟูที่ยั่งยืนและสีเขียว (กระทรวงสาธารณสุข)

(14)ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียน – อินเดีย ว่าด้วยความร่วมมือต่อมุมมองอาเซียนต่ออินโด – แปซิฟิก (กระทรวงการต่างประเทศ)

(15)ร่างแกลงการณ์ร่วมอาเซียน – จีน ว่าด้วยความร่วมมือในการสนับสนุนกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน (กระทรวงการต่างประเทศ)

(16)ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน – จีน ครั้งที่ 24 เพื่อฉลองวาระครบรอบ 30 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน – จีน (กระทรวงการต่างประเทศ)

(17)ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 22 ว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมืออาเซียน – สาธารณรัฐภาหลีให้ก้าวไกล (กระทรวงการต่างประเทศ)

ร่างเอกสารกำหนดแนวทางเชิงนโยบายของอาเซียนในการดำเนินความร่วมมือที่เกี่ยวข้อง รวม 4 ฉบับ ดังนี้

(1)ร่างแผนปฏิบัติการฉบับครอบคลุมเพื่อดำเนินความร่วมมือหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียน-รัสเซีย (ค.ศ.2021-2025) (กระทรวงการต่างประเทศ)

(2)ร่างกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจใส่ใจที่ครอบคลุมของอาเซียน (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

(3)ร่างแผนยุทธศาสตร์อาเซียนในประเด็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 (กระทรวงพาณิชย์)

(4)ร่างกรอบนโยบายยุทธศาสตร์อาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมการปรับตัวของประชาคมอาเซียนสำหรับความเข้าใจ การยอมรับ และการรับรู้เกี่ยวกับวาระระดับภูมิภาคที่มากขึ้นในหมู่ประชาชนอาเซียน (กระทรวงวัฒนธรรม)

และร่างเอกสารกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่คณะทำงานระดับสูงว่าด้วยการจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ค.ศ.2025 จำนวน 1 ฉบับ (กระทรวงการต่างประเทศ)

 

ครม.เห็นชอบไทย-จีนจับมือผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งระบบ ส่งเสริมการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านภาพยนตร์ระหว่างทบวงกิจการภาพยนตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะมีการลงนามในช่วงประมาณต้นปี 2565 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศ โดยร่างบันทึกความเข้าใจมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความร่วมมือด้านภาพยนตร์ของทั้งสองฝ่ายภายในระยะเวลา 5 ปี

ซึ่งร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ในหลายด้าน โดยเฉพาะความร่วมมือในการผลิตภาพยนตร์ระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ สนับสนุนการนำเข้าและออกอากาศภาพยนตร์ระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การใช้สถานที่ถ่ายทำ การเช่าโรงถ่ายทำ การจ้างทีมสตั๊นท์

นอกจากนี้ การร่วมลงทุนภาพยนตร์ร่วมกันจะถือได้ว่าภาพยนตร์ที่ผลิตได้เป็นภาพยนตร์สองสัญชาติ จะทำให้ไทยสามารถจัดฉายในประเทศจีนได้โดยไม่ต้องผ่านระบบการกำหนดสัดส่วน (Quota) ภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งตลาดภาพยนตร์ในประเทศจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ในปีพ.ศ. 2562 มีมูลค่าการขายตั๋วอยู่ที่ 64,200 ล้านหยวน หรือประมาณ 337,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 5.9 และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใน ปีพ.ศ. 2562 มีจำนวนโรงภาพยนตร์ทั้งสิ้น 68,992 โรง ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีจำนวนโรงภาพยนตร์มากที่สุดในโลก

 

ครม.รับทราบการขยายเวลาลดเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเป็นการชั่วคราวอีก 1 ปี จากเดิมอัตราร้อยละ 0.46 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.23 ต่อปี จนถึงสิ้นปี 2565

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ว่า ที่ประชุมรับทราบการขยายเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเป็นการชั่วคราวอีก 1 ปี โดยลดจากเดิมอัตราร้อยละ 0.46 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.23 ต่อปี จนถึงสิ้นปี 2565 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อลดต้นทุนทางการเงินของสถาบันการเงินและส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงไปช่วยเหลือภาคธุรกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้อย่างเต็มที่

สำหรับผลกระทบจากการขยายระยะเวลาดังกล่าว ทางธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินแล้วว่า ยังมีเงินเพียงพอสำหรับการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงเวลาดังกล่าว ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541 (FIDF 1) และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยที่ 2 พ.ศ.2545 (FIDF 3) และการชำระคืนหนี้ต้นเงิน FIDF 1 และ FIDF 3 จะแล้วเสร็จภายในปี 2574 เช่นเดิม

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube