Home
|
ทั่วไป

“หมอธีรวัฒน์”ชี้ “โอไมครอน”แปรผันผิดเพี้ยน-ต้านภูมิคุ้มกัน

Featured Image
“หมอธีรวัฒน์” ชี้ “โอไมครอน”แปรผันผิดเพี้ยน แพร่กระจายได้จาก 1ไปถึงเกือบ 10 คน หลบหนีจากกระบวนการต่อต้านภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ชมป้องกันการปะทุของสายพันธุ์ได้ดี

 

นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก เรื่องปะทุสายพันธุ์เพี้ยน ซึ่งเขียนตั้งแต่ 22 ส.ค. 2564 จนกระทั่งปัจจุบัน พฤศจิกายน มาจนธันวาคม 2564 ปะทุ โอไมครอน ไปทั่วโลก

 

เป็นที่ชัดเจนแน่ยิ่งกว่าแช่แป้งว่า น้องนุชสุดท้องโคโรนา โควิด-19 แปรผันผิดเพี้ยน เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาจนสามารถแพร่กระจายได้จากหนึ่งไปถึงเกือบ 10 คน และยังหลบลี้หนีจากกระบวนการต่อต้านภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ตลอดจนภูมิที่สร้างจากวัคซีนหลากหลาย เหล่านี้ไม่น่าแปลกใจ เมื่อย้อนกลับไปดูรายงานจากประเทศจีนตั้งแต่เมษายน 2563 ในผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์บ้านๆของจีนเอง 11 รายและพบว่าในตัวผู้ป่วยแต่ละรายนั้น มีไวรัสโควิด-19 ที่หน้าตาไม่เหมือนกันอย่างน้อยสี่ตัวจนกระทั่งถึง 10 กว่าตัวในผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีรหัสพันธุกรรมเพี้ยนไปจากเดิมในแทบทุกท่อน

 

และการติดตามรหัสพันธุกรรมทั้งตัว ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมแต่ละท่อน ในแต่ละพื้นที่ ในแต่ละประเทศที่มีมาตรการควบคุมเข้มแข็งหรือลดหย่อนทำให้ทราบว่าไวรัสหนีจากสภาพเดิมสู่สภาพใหม่และในที่สุด เลือกที่จะไฉไลกว่าเก่าโดยยึดหลักที่ว่า เธอจะต้องสามารถแพร่กระจายเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ไปให้นานแสนนาน

 

การที่พบ ไวรัสโควิดหน้าตาหลายแบบในคนเดียวกัน ทำให้ทางการประเทศจีนกล่าวเตือนตั้งแต่ปีที่แล้วว่า ไวรัสหลายแบบดังกล่าวอาจจะมีการควบรวมผสมกลายเป็นตัวใหม่ โดยกระบวนการรีคอมไบน์และไม่ได้มีการเปลี่ยนท่อนพันธุกรรมทั้งท่อนแบบที่เห็นในไวรัสไข้หวัดใหญ่ และเป็นที่หวั่นเกรงกันว่า ถ้าคนติดเชื้อมีไวรัสที่วิวัฒนาการจนตั้งหลักเป็นสายพันธุ์ชัดเจนแล้วมากกว่าหนึ่งตัว

 

ยกตัวอย่างเช่น มีสายพันธุ์อัลฟากับเดลตาอยู่ด้วยกัน จะเกิดประกอบร่างใหม่กลายเป็นไฮบริดเหมือนอย่างรถยนต์ที่สลับสับเปลี่ยนใช้ไฟฟ้าหรือน้ำมันในแต่ละสภาพความเหมาะสม เพื่อความประหยัดและไม่เกิดมลพิษ ไฮบริดของไวรัสดังกล่าว ถ้าเกิดขึ้นจะกลายเป็นเอาจุดเด่นของแต่ละสายพันธุ์เข้ามาร่วมกัน

 

ทั้งนี้ ไม่ใช่เป็นแต่รหัสพันธุกรรมที่ทำให้ติดง่าย แพร่ง่าย และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้เก่งเท่านั้น แต่ยังมีท่อนอื่นที่เพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับไวรัสในการทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะด้วยความช่วยเหลือของอนุภาคในเซลล์ของมนุษย์ที่เราเรียกว่า ไรโบโซม

 

แต่อย่างไรก็ตาม การเกิดไฮบริดอาจจะต้องเกิดจากการที่ไวรัสสองสายพันธุ์เข้าไปติดเชื้อในเซลล์เดียวกัน ไม่ใช่เพียงแต่ที่พบจากในสิ่งคัดหลั่งหรือในกระแสเลือดเท่านั้นซึ่งอาจจะเป็นโชคดีอยู่บ้างของมนุษย์

 

การป้องกันการปะทุของสายพันธุ์เพี้ยนเหล่านี้ คงต้องยกให้ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใช้บริบทของ การควบคุมภายในร่างกายมนุษย์และภายนอกร่างกายมนุษย์ นั่นคือการสร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อจากคนหนึ่งไปหาคนอื่น รวมทั้งทำความสะอาดพื้นผิวสาธารณะต่างๆอย่างสม่ำเสมอและมีการเข้มงวดตรวจคัดกรองและแยกตัวออกทันที ที่วินิจฉัยได้ว่ามีการติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม

 

ดังจะเห็นได้จากการที่สามารถตรวจคนได้เป็น 1,000,000 คนภายในระยะเวลาไม่กี่วันในพื้นที่หนึ่ง

 

การสร้างแรงกดดันที่สำคัญต่อเชื้อที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ ได้แก่ การวินิจฉัยได้เร็วที่สุดและให้การรักษาเร็วที่สุด ตั้งแต่นาทีแรกควบรวมการใช้สมุนไพรที่มีดาษดื่นและขึ้นทะเบียนในระบบสาธารณสุขของจีนอยู่แล้ว และยกระดับเป็นขั้นเป็นตอนควบกับการรักษาแผนปัจจุบันและแม้กระทั่งการจัดท่าของคนที่ติดเชื้อลงปอดให้เป็นท่านอนคว่ำก็เป็นกลยุทธ์ที่ประเทศจีนใช้ก่อนแรงกดดันที่สำคัญอีกประการคือ การใช้วัคซีน เป็นจำนวนมหาศาลในเวลารวดเร็วให้แก่ประชากรมากกว่าที่คิดตัวเลข 60% แต่เป็นเกือบทั้งประเทศยกเว้นในเด็กซึ่งในระยะแรกข้อมูลความปลอดภัยอาจจะยังไม่พอ แต่ในปี 2564 นี้เอง ที่ประเทศจีนใช้วัคซีนที่มีอยู่ดังเดิมที่เป็นเชื้อตายฉีดให้แก่เด็กด้วย

 

การให้วัคซีนอย่างเข้มข้นเช่นนี้ เป็นการปิดโอกาสหรือเปิดโอกาสน้อยที่สุดให้กับไวรัสที่จะมีการแพร่กระจายจากคนสู่คนไปเป็นลูกโซ่และกดดันไม่ให้มีการกลายพันธุ์หรือรหัสพันธุกรรมเพี้ยนจนกระทั่งสามารถตั้งตัวกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่

 

ลักษณะเช่นนี้แตกต่างกับประเทศทางตะวันตก แม้กระทั่งประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็มีสายพันธุ์เอปซิลอน ซึ่งถือว่าเป็นสายพันธุ์เพี้ยนที่กำเนิดขึ้นในพื้นที่ของรัฐแคลิฟอร์เนียเองหลังจากที่มีการระบาดที่ควบคุมไม่ได้อยู่ช่วงเวลาเป็นปี …ลักษณะของการปล่อยให้มีการระบาดตามธรรมชาติและก่อให้เกิดลักษณะของภูมิคุ้มกันหมู่ ที่เรียกว่า herd immunity โดยคนในพื้นที่มีการติดเชื้อมากกว่า 60% โดยคนที่มีอาการรุนแรงก็ตายไปหรือเข้าโรงพยาบาลอาการหนักไป ดังที่เห็นในเขตมาเนาส์ ของเปรู

 

ซึ่งภายในครึ่งปีแรกของปี 2563 มีการติดเชื้อเสียชีวิตเข้าโรงพยาบาลอย่างมากมาย แต่เมื่อถึงครึ่งปี พบว่าคนป่วยอาการหนักเสียชีวิตเข้าโรงพยาบาลกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัดและทำให้การรักษาวินัยส่วนบุคคล การรักษาระยะห่างล้มเหลวไปหมด…

 

ดังนั้น เกิดการระบาดเงียบๆมายังคนในพื้นที่นั้น จนกระทั่งไวรัสสายเพี้ยนพัฒนาขึ้นดังเช่น เป็นสายเปรูและในเดือนธันวาคมของปี 2563 จึงเกิดมีการระบาดอาการหนัก ในพื้นที่ดังกล่าวใหม่

 

ดังที่กล่าวไว้ตอนต้น การสร้างแรงกดดันต่อไวรัสต้องเข้มข้นตลอดเวลาและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นที่มาของการที่เราต้องการวัคซีนที่ดีที่สุดและสามารถคุมไวรัสที่มีเยอะที่สุดในขณะนี้ยกตัวอย่างเช่น สายเดลตาและอัลฟา ที่ต้องพูดถึงอัลฟาเพราะแม้แต่ในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมยังมีผู้ป่วยอาการหนักอายุตั้งแต่ 40 ถึง 80 ปีที่ติดเชื้อด้วยอัลฟาและดูเหมือนว่ายาฟาวิพิราเวียร์จนกระทั่งยาฉีดเรมเดซิเวียร์ เอาไม่อยู่หรือแทบเอาไม่อยู่

 

การฉีดวัคซีนที่ว่าต้องครอบคลุม ทำให้ได้ถึง 80 ถึง 90% ของประชาชนในระยะเวลาเร็วที่สุดภายในสามเดือน โดยที่ในเด็กเล็กอายุตั้งแต่สองขวบจนกระทั่งถึง 15 ปีสามารถใช้วัคซีนเชื้อตายอย่างที่ประเทศจีนได้นำมาใช้ โดยแม้ว่าจะกันการติดของเดลตาไม่ดีเท่ากับวัคซีนอื่นแต่สามารถลดอาการหนักหรือเสียชีวิตได้…การรุกหนักอย่างเข้มข้นรวดเร็วจะกันไม่ให้มีการกลายพันธุ์ภายในพื้นที่เหมือนกับสายพันธุ์เอปซิลอน ในสหรัฐฯที่แพร่ไปหลายสิบประเทศแล้วจนกระทั่งถึงปากีสถาน และแน่นอนไม่ช้าไม่นานคงจะเข้าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมกระทั่งถึงประเทศไทย

 

แต่การให้วัคซีนเข้มข้น รวดเร็ว ต้องร่วมกับการคัดกรอง การติด และแยกตัว และวินัยพร้อมๆกัน ดังเช่น รายงานจากคณะผู้วิจัยในวารสารเนเจอร์ปลายเดือนกรกฎาคม 2564 และในเวลาถัดมา จะมีวัคซีนครอบจักรวาล (broad spectrum vaccine) ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อและป้องกันการตายจากสายพันธุ์ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้และสายพันธุ์ที่จะมีการเพี้ยนในอนาคต

 

และเมื่อถึงเวลานั้นอาจมีทางเป็นไปได้ว่าจะเป็นวันแห่งการประกาศอิสรภาพใช้ชีวิตอย่างเดิม โดยที่ไม่ต้องคิดอยู่ทุกวันเมื่อออกจากบ้านว่ากำลังจะไปรบและวันนี้จะเหยียบกับระเบิดตายหรือไม่

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube