ผู้ว่าฯกทม.กำชับเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับการให้บริการฉีดวัคซีน ลดความกังวลให้แก่ประชาชน
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผย แผนและเป้าหมายในการให้บริการวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของกรุงเทพมหานคร ระยะแรกเดือนมีนาคมสัปดาห์ที่ 1 กลุ่มเป้าหมายคือ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน ในพื้นที่ 6 เขตเสี่ยง รวม 3,278 คน ส่วนของสัปดาห์ที่ 2 กลุ่มเป้าหมายคือ อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 และสัปดาห์ที่ 3-5 กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน 16 แห่ง และศูนย์บริการสาธารณสุข 7 แห่ง ในพื้นที่ 6 เขตเสี่ยง โดยจะรับบริการฉีดวัคซีน ณ โรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์ 3 แห่งและโรงพยาบาลเอกชน 12 แห่ง ทั้งนี้ระยะเวลาการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายอาจมีความล่าช้า เนื่องจากการบริหารจัดการทุกขั้นตอนต้องมีความรอบคอบ และคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ได้รับวัคซีนสูงสุด
ทั้งนี้ มีประชาชนบางส่วนเห็นว่าตนเองมีคุณสมบัติอยู่ในกลุ่มของผู้ป่วยเรื้อรังที่สามารถเข้ารับวัคซีนได้นั้น ไม่ต้องติดต่อเพื่อขอรับบริการแต่อย่างใด ขอให้รอรับการติดต่อกลับจากสถานพยาบาลที่ทำการรักษาอยู่เท่านั้น เนื่องจากโรงพยาบาลที่ทำการรักษาจะเป็นหน่วยงานที่ส่งข้อมูลของผู้ป่วยที่พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเหมาะสม ที่จะได้รับวัคซีนเข้าสู่ระบบของกระทรวงสาธารณสุข และหากถึงคิวจะได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่เพื่อให้มารับการฉีดวัคซีนอีกครั้ง และในส่วนของกลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีคุณสมบัติอายุ 18-59 ปี และประสงค์จะรับวัคซีนนั้น ในขณะนี้ยังไม่สามารถลงทะเบียนผ่านระบบแอปพลิเคชั่นหมอพร้อมได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบขอให้รอการประกาศจากทางกระทรวงสาธารณสุขก่อนจึงจะสามารถเข้าไปลงทะเบียนได้ พร้อมมอบหมายให้สำนักการแพทย์ สำนักอนามัย และสำนักงานประชาสัมพันธ์เร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้ประชาชนมีความเข้าใจในกระบวนการเข้ารับวัคซีน เพื่อลดความกังวลและตอบข้อสงสัยของประชาชน และให้การบริหารจัดการวัคซีนเป็นไปอย่างมีระบบ ไม่ให้เกิดความแออัดในสถานพยาบาล ซึ่งจะเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดของโรคได้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news