“หมอยง” ยอมรับห่วงหยุดยาวสงกรานต์ โควิด-19 แพร่ระบาดง่าย หลังพบเป็นสายพันธุ์อังกฤษ – ย้ำทุกคนต้องมีวินัยอยู่บ้านดีที่สุด
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับ โควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษในที่สุดก็ระบาดในประเทศไทย
โดยระบุว่า ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะพบการระบาดของสายพันธุ์อังกฤษในประเทศไทย ทั้งที่ยังไม่มีการเปิดประเทศ ผู้เดินทางจากต่างประเทศจะต้องมีการกักกันถึง 14 วันและมีมาตรการในการตรวจถึง 2 ครั้ง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ที่มาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์อังกฤษ แอฟริกาใต้ และบราซิล ในอนาคตจะมีสายพันธุ์อื่นๆ อีก และถ้ามีการระบาดมากในประเทศก็อาจจะเกิดสายพันธุ์ใหม่ในประเทศเกิดขึ้นได้
.
สายพันธุ์อังกฤษเข้ามาระบาดในประเทศไทยได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ทุกคนตั้งคำถาม แต่คำตอบก็คือว่าต่อจากนี้สายพันธุ์นี้จะอยู่ประจำถิ่นเราแล้วและจะแพร่กระจายโรคได้ง่ายขึ้น การจะทำให้สายพันธุ์นี้หมดไปคงจะเป็นการยาก สิ่งสำคัญต่อไปคือการเฝ้าระวังสายพันธุ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่จะมีผลต่อวัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยหรือทำให้โรครุนแรงขึ้น การสุ่มตรวจในแต่ละคลัสเตอร์ แต่ละช่วงเวลา มีความจำเป็นอย่างยิ่ง การลงทุนในการตรวจถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการตรวจวินิจฉัยปกติมาก
ทั่วโลกมีการเฝ้าระวังและมีการถอดรหัสพันธุกรรม เป็นจำนวนหลายๆ แสน ประเทศไทยก็ได้มีการดำเนินการแต่ภาพรวมยังไม่มาก แต่ก็ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศเพราะเราก็ต้องการอยากรู้ว่า เป็นอย่างไร การลดการระบาดของโรคจะเป็นการลดการกลายพันธุ์ของไวรัส
ขณะนี้ที่รู้แน่ก็คือประเทศอินเดียมีการระบาดอย่างมาก สูงกว่าที่เคยมีมาในอดีตทั้งหมดและมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ในตำแหน่งที่สำคัญ ที่เฝ้าระวังอยู่โดยเฉพาะที่จะมีผลต่อวัคซีนในการป้องกันในเทศกาลที่จะมีการหยุดยาว จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ถึงการแพร่ระบาดง่ายของสายพันธุ์อังกฤษ ทุกคนจะต้องมีระเบียบวินัยและปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ถ้าไม่มีความจำเป็น อยู่บ้านจะดีที่สุด
“อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ยังใช้ได้อยู่”
ข้อมูล FB : นพ.ยง ภู่วรวรรณ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news