กรมคุมประพฤติ เผยสถิติ ยอดคดีเมาแล้วขับ ในช่วง 6 วัน ของเทศกาลสงกรานต์ พบมีกว่า 3 พันคดี ติดกำไล EM แล้ว 19 ราย
นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวถึงสถิติคดีขับรถในขณะเมาสุราที่ศาลสั่งคุมความประพฤติ ต้อนรับวันเดินทางกลับจากหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ (15 เม.ย.64) มีจำนวนเพียง 80 คดี เนื่องจากศาลปิดทำการ ทำให้ตัวเลขสถิติยอดรวม 6 วันที่มีการควบคุมเข้มงวด (10-15 เม.ย.64) มีจำนวนทั้งสิ้น 3,823 คดี จำแนกเป็นคดี ขับรถขณะเมาสุรา จำนวน 3,810 คดี หรือร้อยละ 99.66 คดีขับเสพ 11 คดี หรือร้อยละ 0.29 คดีขับรถประมาท 2 คดี หรือร้อยละ 0.05
จังหวัดที่มีสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราสะสมสูงสุด 3 อันดับยังคงเดิม ได้แก่ 1. จ.ชัยภูมิ 290 คดี 2.จ.เชียงราย 264 คดี และ 3.จ.บุรีรัมย์ 251 คดี ส่วนการติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกำไล EM กับผู้กระทำผิดเมาแล้วขับยังไม่มีเพิ่มเติม ยังคงตัวเลขสะสม 6 วันอยู่ที่ จำนวน 19 ราย โดยมีเงื่อนไขห้ามออกจากที่พักอาศัย ในช่วงเวลาตั้งแต่ 22.00 น. – 04.00 น. เป็นระยะเวลา 15 วัน พักใช้ใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ สำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศเฝ้าติดตามและควบคุมดูแลผู้กระทำผิดตลอด 24 ชั่วโมงผ่านศูนย์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว พร้อมประสานเครือข่ายภาคประชาชน อาสาสมัครคุมประพฤติ เตรียมพร้อมลงพื้นที่หากมีการผิดเงื่อนไขคุมความประพฤติ
อธิบดีกรมคุมประพฤติ แสดงความห่วงใยสวัสดิภาพของประชาชนในการเดินทาง ขอให้ผู้ขับขี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มสุรา ยาเสพติด หากเมื่อยล้าหรือง่วงนอนให้จอดรถพักได้ที่จุดบริการ ที่สำคัญอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ระหว่างการเดินทางต้องใส่แมส ล้างมือบ่อยๆ เมื่อกลับสู่ที่หมายหากรู้ตัวว่าไปในสถานที่แพร่ระบาดหรือมีอาการสงสัยติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ขอให้ป้องกันตัวเองอย่างเข้มงวดและติดต่อเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์
ทั้งนี้ กรมคุมประพฤติ โดยสำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ ร่วมกับอาสาสมัครคุมประพฤติ ภาคีเครือข่าย ประชาชนและผู้ถูกคุมความประพฤติ ยังคงเข้าสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บริเวณจุดบริการประชาชน ด่านชุมชน และด่านตรวจค้น จำนวน 57 จุด โดยมีผู้ร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 376 คน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news