การออกมายอมรับว่ามีผู้เดินทางกลับจากประเทศปากีสถาน ตรวจพบเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย (Indian various) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ของ พ.ญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ รองโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แม้จะเป็นการตรวจพบและอยู่ในสถานกักกันของรัฐ
แต่เชื่อว่าหลายคนที่ทราบข่าวก็คงอดเป็นห่วงและกังวลใจไม่น้อย ว่าอาจจะเกิดการกลายพันธุ์ของไวรัสสายพันธุ์นี้ จนยากต่อการควบคุม ยิ่งมีการนำเสนอข่าวการแพร่ระบาดที่รุนแรงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในประเทศอินเดีย ยิ่งสร้างความวิตกให้กับคนไทย วันนี้อยากชวนทุกคนมาทำรู้จักโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียเพื่อเป็นข้อมูลไว้เพื่อป้องกันตัวเอง
รู้จักโควิดสายพันธุ์อินเดีย
“สายพันธุ์อินเดีย” เป็นเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พบเป็นครั้งแรกในประเทศอินเดียตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2563 และเริ่มแพร่ระบาดไปยังปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล อังกฤษ เยอรมนี อเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และบาห์เรน ปัจจุบันพบในราว 30 ประเทศทั่วโลก
เชื้อไวรัสโควิด “สายพันธุ์อินเดีย” ตัวนี้มีชื่อว่า “B.1.617” โดยไวรัสมีการกลายพันธุ์ที่ทำให้เชื้อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าปกติ จากการศึกษาทางทฤษฎีพบว่าการกลายพันธุ์ของโควิด “สายพันธุ์อินเดีย” ในครั้งนี้อาจมีแนวโน้มทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของวัคซีนลดลงได้ แต่ยังไม่มีการยืนยันทฤษฎีดังกล่าวอย่างแน่ชัด
การแพร่ระบาดของ สายพันธุ์อินเดีย หลบภูมิคุ้มกันได้
สำหรับการกลายพันธุ์ของ “สายพันธุ์อินเดีย” นั้น ดร.เจเรมี คามิลล์ นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเตตของสหรัฐอเมริกา ออกมาระบุว่า ลักษณะการกลายพันธุ์บางอย่างของไวรัสสายพันธุ์อินเดีย มีความคล้ายคลึงกับที่พบในสายพันธุ์บราซิลและสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ถึงแม้ว่าในขณะนี้ ทางผู้เชี่ยวชาญเผยว่ายังไม่มีหลักฐานสรุปได้แน่ชัดเกี่ยวกับเชื้อกลายพันธุ์ใหม่นี้
แต่ความน่ากังวลคือ มีการกลายพันธุ์ที่สำคัญในตำแหน่ง E484K ที่เป็นจุดสำคัญในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน (แอนติบอดี) ซึ่งแอนติบอดีเป็นสิ่งเดียวที่จะต่อสู้กับไวรัสได้ หลังจากคนผู้นั้นได้รับวัคซีนหรือเคยผ่านการติดเชื้อมาแล้ว แต่หากนำสายพันธุ์อินเดียมาเทียบกับสายพันธุ์จากอังกฤษ หรือที่เรียกว่า ไวรัสสายพันธุ์เคนต์ (B.1.1.7) ซึ่งตรวจพบได้มากที่สุดภายในประเทศ ณ ขณะนี้รวมทั้งแพร่กระจายไปยังกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
โควิดในอินเดียพุ่งสูง เหตุสายพันธุ์กลายพันธุ์
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกมีคำสั่งห้ามผู้เดินทางจากประเทศอินเดียเดินทางเข้าประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย แต่ก็ยังคงมีบางประเทศที่ยังไม่มีมาตรการดังกล่าว เพราะในอีกด้านทางชาวอินเดียหลายคนก็พยายามเดินทางออกนอกประเทศเพื่อหนีการแพร่ระบาดของโควิด-19
ความอันตรายของโควิดสายพันธุ์อินเดีย
ขณะนี้ยังไม่อาจระบุได้ แต่นักวิทยาศาสตร์กำลังวิจัยเพื่อยืนยันว่าโควิดสายพันธุ์อินเดียมีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่นหรือไม่ อาทิ สามารถระบาดได้รวดเร็วกว่า หรือมีอาการรุนแรงกว่า โดย องค์การอนามัยโลก( WHO) ได้ยกระดับสายพันธุ์อินเดีย ให้เป็นสายพันธุ์น่ากังวลในระดับโลก (Variant of Global Concern) จากก่อนหน้านี้มีเชื้อกลายพันธุ์ที่พบในอังกฤษ แอฟริกาใต้ และบราซิล หลังผลการศึกษาเบื้องต้นส่วนหนึ่งชี้ว่า เชื้อสายพันธุ์อินเดียสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็ว
วัคซีนยังคงได้ผลกับโควิดสายพันธุ์อินเดียหรือไม่
นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า วัคซีนที่มีอยู่ตอนนี้ยังสามารถลดอาการป่วยรุนแรงจากไวรัสกลายพันธุ์ได้อยู่ แม้อาจมีเชื้อกลายพันธุ์บางตัวที่หลบวัคซีนได้บ้าง ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างวัคซีนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อไป ขณะที่องค์การอนามัยโลก ออกมาระบุว่า จากข้อมูลล่าสุดที่มี ยังไม่พบข้อบ่งชี้ใดๆ ที่บ่งชี้ว่าการวินิจฉัยโรควิธีการรักษา และวัคซีนที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่ได้ผล และขอให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนที่ทางการได้จัดหาให้
ห้ามต่างชาติ 3 ประเทศเข้าไทย
เพื่อเป็นการป้องกันการนำเข้าสายพันธุ์อินเดีย กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งระงับการออก COE หรือ หนังสือรับรองว่าเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรให้แก่ชาวต่างชาติจากประเทศที่พบเชื้อกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกรวม 3 ประเทศ 3 คือ ปากีสถาน บังกลาเทศ และ เนปาล มีผลทันที
เราจะลดการกลายพันธุ์ได้อย่างไร
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ย้ำว่า ทุกคนต้องช่วยกันลดการระบาดครั้งนี้ลงให้ได้ ด้วยการมีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ใส่หน้ากากอนามัย 100% ก็ต้องทำจริงๆ กำหนดระยะห่าง ไม่ให้มีการรวมกลุ่ม คนจำนวนมากก็ต้องปฏิบัติตาม หมั่นล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ถ้าทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ โรคภัยต่าง ๆ ผมคิดว่าไม่สามารถยุติได้แค่คนใดคนหนึ่ง แต่ต้องทำร่วมกันทุกคน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news