ป.ป.ส.ขยายผลสอบ บริษัทขนส่งสินค้า หลัง ทางการออสเตรเลียยึดไอซ์ 316 กก. ในเรือของไทย
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวถึงความคืบหน้า กรณีที่ ตำรวจออสเตรเลียพบไอซ์มูลค่าเกือบ 100 ล้านดอลลาร์ ซุกมาในเตาย่างบาร์บีคิวและเครื่องทำน้ำอุ่นบนเรือสินค้าไทย เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 โดยตำรวจออสเตรเลียเข้าตรวจเรือสินค้าไทยลำหนึ่งที่ท่าเรือโบตานีในนครซิดนีย์ ค้นกล่องกระดาษขนาดใหญ่ 62 กล่อง หลังได้รับแจ้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติออสเตรเลีย ว่า รายละเอียดสินค้าไม่ตรงกัน เมื่อเปิดกล่องเจ้าหน้าที่พบสารผลึกใส 316 กิโลกรัม ว่า ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่าตู้สินค้าที่มีการตรวจพบ ยาเสพติดเป็นแบบสินค้าหลายชนิด โดยสำแดงเป็นอาหารและเตาปิ้งอิเลคทริค มีสินค้าจำนวน 15 ชนิด 436 แพ็ค น้ำหนัก 4,993 กก. ออกจากท่าเรือแหลมฉบังประเทศไทย ไปยังรัฐนิวเซาท์เวล ประเทศออสเตรเลีย โดยลงเรือบรรทุกสินค้าจีน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 จากนั้นได้ไปเปลี่ยนลงเรือโปรตุเกส ที่ประเทศสิงคโปร์ และไปถึงปลายทางประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564
ขณะนี้ ป.ป.ส. ร่วมกับ บช.ปส. ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวจนทราบว่า เมื่อสินค้าถูกส่งมาจากท่าเรือแหลมฉบัง จึงได้มีการตรวจสอบย้อนหลัง ไปจนทราบข้อมูลของผู้ที่ส่งสินค้าตู้ดังกล่าว เป็นบริษัทนิติบุคคลรายหนึ่ง รวมทั้งสืบทราบข้อมูลของบุคคลที่นำส่งแล้ว อยู่ระหว่างการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานว่าบริษัทดังกล่าวนี้มีส่วนร่วมกับการขนส่งยาเสพติดออกนอกประเทศครั้งนี้หรือไม่ หรือเป็นลักษณะการว่าจ้างวานจากบริษัท หรือบุคคลอื่นอีกทอดหนึ่งเท่านั้น รวมทั้ง จะมีการตรวจสอบว่าบริษัทดังกล่าวเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าที่มีการแอบแฝงยาเสพติดไปยังประเทศต่างๆ ด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ในส่วนของสำนักงาน ป.ป.ส. จะมีการสืบสวน เพื่อขยายผลยึดทรัพย์สินเครือข่ายและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และภายใน 1-2 วันนี้ สำนักงาน ป.ป.ส.จะมีการประชุมข้อมูลการข่าวร่วมกับตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (AFP) ประจำประเทศไทย เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข่าวสารในการขยายผลถึงขบวนการลักลอบขนยาเสพติดในครั้งนี้ รายละเอียดและความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news