“อนุทิน”ปัดประเมินโควิดผิดพลาดยันเฝ้าระวังมาตลอด
“อนุทิน”ปัดประเมินโควิดผิดพลาด ยันเฝ้าระวัง ป้องกันมาตลอด รับระลอก 3สาเหตุหลักมาจากการลักลอบเข้าประเทศของแรงงานต่างชาติ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบชี้แจงสภาช่วงกลางดึก ในประเด็นเกี่ยวกับการประเมินความรุนแรงของการแพร่ระบาดโควิด-19
ที่มีความผิดพลาดว่า เป็นเพียงโรคไข้หวัดธรรมดา ไม่มีการเตรียมพร้อมและละเมิดกฎหมาย จนทำให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง เมื่อกระทรวงสาธารณสุขได้ทราบว่าโรคระบบทางเดินหายใจได้แพร่ระบาด เมื่อปี พ.ศ. 2562 จึงได้สั่งการให้กรมควบคุมโรคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประสานข้อมูลจากเครือข่ายนานาชาติเพื่อเพิ่มความเข้มงวด ยกระดับการตรวจหาผู้ติดเชื้อ และเน้นการเฝ้าระวัง ตลอดจนผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ โดยได้พบผู้ป่วยรายแรก คือ นักท่องเที่ยวจากประเทศจีน จึงได้มีการค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 พบว่ามีจำนวน 30 คน เดินทางมาจากประเทศจีนทั้งหมด โดยไม่มีผู้ใดเสียชีวิตและเดินทางกลับประเทศจีนด้วยความปลอดภัย ทำให้รัฐบาลจีนซาบซึ้งในมิตรไมตรีของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม โรคโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่จึงต้องมีการรับมือ ทั้งการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการรักษาโรค โดยมีการปรับแนวทางรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ทำให้มีผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 90 อัตราการเสียชีวิตในประเทศไทยยังต่ำกว่าอีกหลายประเทศ แต่การแพร่ระบาดในรอบที่ 3 มีความรุนแรงในทุกมิติ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการลักลอบเข้าประเทศของแรงงานต่างชาติอย่างผิดกฎหมาย และประชาชนบางส่วนขาดความระมัดระวัง มีการเดินทางไปมาหาสู่กันอย่างเสรี นอกจากนี้ รัฐบาลได้ตั้ง ศบค. โดยมีการบูรณาการร่วมกันหลายหน่วยงาน เพื่อให้มีการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้ง ยังได้สร้างโรงพยาบาลสนามบุษราคัมเพื่อรักษาผู้ป่วย โดยโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ มีการเพิ่มจำนวนเตียงมากขึ้น เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังมีการบรรจุลูกจ้างให้เป็นข้าราชการกว่า 4 หมื่นอัตรา และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขปรับการตรวจหาเชื้อแบบ ATK โดยรัฐบาลจะดำเนินการจัดหาให้กับประชาชน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบค่าตอบแทนเสี่ยงภัยให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุมและรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และกระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่ในการจัดหาวัคซีนให้กับประชาชน คือ AstraZeneca และ Sinovac โดยเบื้องต้นมีการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ จากนั้น จึงเร่งจัดหาให้กับประชาชนทันทีและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้การสนับสนุนและพัฒนาวัคซีนให้กับแพทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีการทดลองก้าวหน้าตามลำดับ ทั้งนี้ ประชาชนชาวไทยจะต้องได้รับวัคซีนภายในสิ้นปี 2564 อย่างถ้วนหน้า และขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของประชาชนหลายท่านได้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news