ศบค. ห่วงผล ATK จ.ชายแดนใต้พบติดเชื้อสูง จับตานครศรีธรรมราช-กระบี่หลังผลตรวจ 7 วัน เปอร์เซ็นต์สูง ขอประชาชนพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวเข้าฉีดวัคซีน
แพทย์หญิงสุมณี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงฯกรมควบคุมโรค เผยว่า การตรวจหาเชื้อด้วย ATK ในพื้นที่ภาคใต้ หรือเขตสุขภาพที่ 12 พบผลติดเชื้อสูง โดยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสพบผลติดเชื้อถึง 28.3% จังหวัดปัตตานีพบ 20.2% ยะลาพบ 19.5% และสงขลาพบ 10% ส่วนการเฝ้าระวังจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีจังหวัดที่ต้องจับตามองเนื่องจากพบผลติดเชื้อเยอะขึ้น เช่น พื้นที่นครศรีธรรมราช ผลย้อนหลัง 7 วัน ค่าเฉลี่ย 25.1% และกระบี่ ผลย้อนหลัง 7 วัน ค่าเฉลี่ย 10.3%
โดยแพทย์หญิงสุมณี ระบุว่า ด้านความครอบคลุมกลุ่มฉีดวัคซีนในจังหวัดนำร่องท่องเที่ยว หรือพื้นที่สีฟ้า ที่เข็มหนึ่งครอบคลุมประชากร 50% มีทั้งหมด 11 จังหวัด แบ่งเป็น กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ กระบี่ พังงา ประจวบคีรีขันธ์เพชรบุรี ชลบุรี ระนอง ระยอง เชียงใหม่ และตราด ทั้งนี้จังหวัดนำร่องท่องเที่ยวรวมถึงจังหวัดที่อยู่ในระยะแรกของการเปิดพื้นที่นำร่องในช่วงวันที่ 1 พ.ย.นี้ ส่วนกลางได้ส่งวัคซีนสนับสนุนไปในพื้นที่นำร่องเพิ่มอีก 7 แสนโดส ขอความร่วมมือประชาชนที่อยู่ในจังหวัดพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ขอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากๆ
ทั้งนี้แพทย์หญิงสุมณี ระบุว่า เรื่องการเปิดประเทศที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้น ถึงหลักพิจารณาการเปิดประเทศ 3 ปัจจัย แบ่งเป็นมาตรการสาธารณสุข, ภาคการท่องเที่ยวและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และความสอดคล้องกับมาตรการเข้าออกประเทศอื่นๆ ส่วนรูปแบบการเข้าประเทศมีสามเกณฑ์หลักคือการเข้าสถานที่กักกันตามที่ราชการกำหนด ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติในกรณีที่ฉีดวัคซีนไม่ครบ, การเข้าพื้นที่ท่องเที่ยวนำร่องท่องเที่ยวตามเงื่อนไขที่กำหนด คือ ผู้ที่เดินทางเข้ามาต้องฉีดวัคซีนครบและไม่จำกัดประเทศ โดยพื้นที่ต้องมีความพร้อม และการเข้าราชอาณาจักรโดยไม่ต้องกักตัว ข้อกำหนด คือ ต้องฉีดวัคซีนครบและไม่จำกัดประเทศ ซึ่งการเข้าประเทศไทยจะต้องมีการตรวจ RTPCR จากประเทศต้นทาง 72 ชม. และเมื่อเดินทางมาถึงไทยจะต้องตรวจ RTPCR ซ้ำอีกหนึ่งครั้ง ซึ่งจะมีการประชุมเรื่องการเปิดประเทศอย่างต่อเนื่องเป้าหมาย คือ เมื่อเปิดประเทศประชาชนต้องปลอดภัย และระบบสาธารณสุขต้องรองรับได้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news