ฟันโทษตร.50นายเอี่ยวแรงงานเถื่อน
ฟันวินัย-อาญาตำรวจพัวพันขนแรงงานเถื่อน กว่า50นาย ผบ.ตร. ยันมีแนวทางขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติให้ถูกกฎหมาย
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า คณะทํางานสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ลงพื้นที่ตรวจค้นและตรวจสอบร่วมกับ ตํารวจภูธรภาค 7 พบว่ามีขบวนการขนแรงงานต่างด้าว โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง จํานวน 37 นาย มีทั้งเข้าข่ายถูกดําเนินการทางอาญา ทางวินัยและทางปกครอง
ทั้งนี้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ ดําเนินการกับข้าราชการตํารวจที่มีส่วนพัวพันกับขบวนการขนแรงงานต่างด้าว ตั้งแต่ปี 2558 – 2563 แบ่งเป็น ดําเนินคดีอาญา 6 นาย และดําเนินการทางวินัย 49 นาย พร้อมแต่งตั้งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ โดยมี พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะฯ และมี พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้กํากับควบคุมดูแล โดยคณะตรวจสอบนี้จะมีจเรตํารวจและคณะพนักงานสอบสวนจากส่วนกลางร่วมเป็นคณะตรวจสอบ ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความโปร่งใสซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ตั้งขึ้นนี้ จะทํางานควบคู่และสอดรับกับคณะทํางานตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาล
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ในการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย ตามนโยบายของรัฐบาล โดยแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยก่อนวันที่ 29 ธันวาคม 2563 และประสงค์จะทำงานต่อ
โดยอาจจะเป็นแรงงานเถื่อนมีนายจ้างอยู่ก่อนแล้ว หรือ ไม่มีนายจ้าง ถ้าเข้าเงื่อนไขตามที่กระทรวงแรงงานกำหนดไว้ จะนำเข้ามาพิจารณาโดยทางสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เสนอให้แรงงานข้ามชาติทุกคนที่เข้าหลักเกณฑ์ ต้องขึ้นทะเบียน ฐานข้อมูลในระบบไบโอเมทริกซ์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อเก็บไว้เป็นฐานข้อมูลพิจารณาในการรับขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติถูกหมาย แต่หากเป็นแรงงานข้ามชาติ ที่อยู่อาศัยหลังวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ยอมรับว่าหน่วยงานความมั่นคง ต้องเฝ้าระวังในการเข้ามาใช้โอกาสนี้ สวมสิทธิ์ขึ้นทะเบียนแรงงาน
ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผบ.ตร. กล่าวว่า สำหรับผลการปฏิบัติจับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2562 พบหลบหนีเข้าเมือง 208,791 ใน พ.ศ. 2563 หลบหนีเข้าเมือง 68,942 ส่วนผลการปฏิบัติ ตั้งแต่ 1 – 25 มกราคม 2564 จับกุมต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 266 ราย ส่วนผู้กระทำผิดมีมากกว่า 5 เครือข่าย
