“1 พฤษภาคม 2565” เป็นอีกหนึ่งวันที่คนไทยต้องจดจำ เพราะมีเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
โดยมีปากท้องของประชาชนเป็นเดิมพัน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการยกเลิก Test and Go และปรับลดวงเงินประกัน รวมถึงราคาน้ำมันดีเซลที่ทะลุ 30 บาทต่อลิตร นำมาสู่การปรับขึ้นราคาสินค้าบริการ ค่าขนส่ง ค่าโดยสาร ขณะที่ก๊าซหุงต้มก็อั้นไม่อยู่ ปรับขึ้นราคาครั้งที่ 2 ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเศรษฐกิจไทยในห้วงจังหวะที่มีข่าวดีคือการเปิดประเทศ กับข่าวร้าย น้ำมันแพง เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพสูง จะเป็นอย่างไร สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.พาไปพูดคุยกับ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย “นายไพบูลย์ นลินทรางกูร” โดยเขามองว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้น หลังจากรัฐบาลได้มีมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 แต่ทั้งนี้
การเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องมีจำนวนที่มากพอ เพื่อสร้าง “อิมแพ็ค” ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนตัวเลขจะถึง 6.1 ล้านคนตามที่กระทรวงการคลังคาดไว้หรือไม่นั้น ยังคงต้องลุ้น เพราะสถานการณ์โลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน , โควิด-19 ย่อมมีผลต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยเช่นกัน
ส่วนการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลในเดือนพ.ค.นั้น “นายไพบูลย์” มองว่า ย่อมมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป ซึ่งจะกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่จะลดลง ขณะที่ต้นทุนสินค้าแพงขึ้น ค่าขนส่งปรับราคา แน่นอนว่าอาจทำให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้น อยากให้รัฐบาลอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลครึ่งหนึ่งต่อไป เพราะประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะลอยตัวดีเซล ส่วนการกู้เงินเพิ่ม เพื่อดูแลเศรษฐกิจยังมีความจำเป็นด้วยเช่นกัน
“ผมยังเชื่อว่าภาครัฐตอนนี้ ก็คือพยายามที่จะ subsidy ครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของราคา ก็ยังอยากที่จะให้มีการ subsidy อยู่ เพราะเรายังไม่พร้อมที่ปล่อยให้ลอยตัวไปเลย คือภาครัฐจริงๆวันนี้แน่นอนคงไม่อยากเห็น ที่จะให้ภาครัฐกู้เงินเพิ่มขึ้น แต่ผมคิดว่าก็มีความจำเป็น ในแง่ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ”
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การผ่อนคลายเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ 1 พ.ค. โดยกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบไม่ต้องตรวจ RT-PCR และการปรับลดวงเงินประกันภัยสำหรับชาวต่างชาติทุกกลุ่มเหลือ 10,000 เหรียญสหรัฐ จากเดิม 20,000 เหรียญสหรัฐ นับเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้าขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยว
และช่วยให้ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในช่วงที่เหลือของปี 2565 นี้ กลับมามีบรรยากาศที่สดใสขึ้น โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปีนี้อาจอยู่ที่ราว 4 ล้านคน หรือคิดเป็นรายได้การท่องเที่ยวเป็นมูลค่าประมาณ 2.4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ หากสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนไม่รุนแรง มองว่า นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรปยังเป็นตลาดที่สำคัญของการท่องเที่ยวไทยในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยประมาณ 1.8 ล้านคน ขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกน่าจะมีจำนวน 1.7 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจากทั้ง 2 ภูมิภาคคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 86% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งหมดในปีนี้
และนี่ ก็เป็นมุมมองเศรษฐกิจต่อการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบ 1 พ.ค. รวมถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่ทะลุ 30 บาทต่อลิตรนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews