รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล สร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่อก้าวสู่ “เศรษฐกิจดิจิทัล” ที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและของโลก
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาล โดยพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ “เศรษฐกิจดิจิทัล” ที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ
20 ปีและสอดรับกับการพัฒนาของโลกที่มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
ครอบคลุมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งไทยนับเป็นประเทศแรก ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ที่พร้อมเปิดประตูสู่โอกาส ในการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล
ทำให้การส่งผ่านข้อมูลรวดเร็วขึ้นมาก โดยในปี 2564 ความเร็วเฉลี่ยอินเทอร์เน็ตบ้านของไทย ที่ 308 ล้านบิทต่อวินาที (Mbps) ถือว่าแรงเป็นอันดับ 1 ของโลก รวมทั้ง
ยังได้เร่งขับเคลื่อนโครงการเน็ตหมู่บ้าน 74,987 หมู่บ้าน ทั้งประเทศเข้าถึงบริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม เป็นโครงการที่ได้รับรางวัล The Winner ในงาน
World Summit on the Information Society (WSIS) Prizes 2019 ซึ่งจัดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) นอกจากนี้รัฐบาลยังมีโครงการสายเคเบิ้ลใต้น้ำ
ที่ดำเนินการอยู่ จะช่วยเสริมบทบาทของไทยเป็น “ศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน” ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ เชื่อมต่อจีน – อินเดีย – อาเซียน มีประชากรรวมกันกว่า 3,300 ล้านคน หรือเกือบ “ครึ่งโลก”
ขณะเดียวกัน ย้ำว่า รัฐบาลได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมุ่งเป้าการเปลี่ยนแปลงสู่ (Transform) รัฐบาลดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
การให้บริการของภาครัฐ โดยได้บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ พัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID พัฒนาแพลตฟอร์ม
การให้บริการภาคเอกชนและประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ และเข้าถึงง่าย ซึ่งได้ทำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เรียนรู้และปรับตัวเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
เริ่มจากการพัฒนาระบบ “พร้อมเพย์” เพื่อสนับสนุนการชำระเงินและโอนเงินแบบทันที (ปี 2558) ยกระดับระบบศูนย์กลางบริการภาครัฐเพื่อภาคธุรกิจ (Biz Portal) สำหรับการออกใบอนุญาต (ปี 2559) พัฒนาระบบพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน (Citizen Portal)
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ในการติดต่อขอรับบริการผ่านช่องทางออนไลน์ (ปี 2563) และการดำเนินโครงการ “หนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ (SME One ID) ” เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)
เข้าถึงการดูแลของภาครัฐโดยใช้หมายเลข ID เดียวในการเข้าถึงบริการของภาครัฐทุกหน่วยงาน
ทั้งนี้ ล่าสุดโครงการหนึ่งรหัส หนึ่งผู้ประกอบการ หรือ SME One ID ภาพรวมความร่วมมือกับ 16 หน่วยงาน ณ เดือนพฤษภาคม 2565 มีผู้ประกอบการ MSME ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานพันธมิตรแล้วรวม 2,045 ราย
ซึ่งการดำเนินงานโครงการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอยู่บนโลกออนไลน์
เป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต การขนส่ง การขาย และการบริการ เพื่อให้ประชาชนมีการพัฒนาตนเองต่อเนื่อง
ปรับตัวให้สอดคล้องทิศทางการพัฒนาประเทศ ตลอดจนทันต่อเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews