Home
|
เศรษฐกิจ

คลังรับหนังสือผู้ชุมนุมปมค้านลดรายจ่ายเบี้ยคนชรา

Featured Image
กระทรวงการคลังรับหนังสือจากผู้ชุมนุม พร้อมนัดหารือปลัด 17 ส.ค.นี้ ปมคัดค้านการปรับลดรายจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เฉพาะคนจน

 

 

 

เครือข่ายสลัม 4 ภาค, เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) พร้อมตัวแทนกลุ่มผู้สูงวัย เดินทางมายังกระทรวงการคลัง ถ.พระราม 6 เพื่อยื่นหนังสือถึงรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผ่านปลัดกระทรวงการคลัง ขอคัดค้านการปรับลดรายจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เฉพาะคนจน

 

 

 

เนื่องจากรับทราบข่าวตามสื่อต่างๆ ระบุว่า กระทรวงการคลังจะปรับลดรายจ่ายสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ในกลุ่มที่มีความซ้ำซ้อนหรือลดกลุ่มเป้าหมาย การช่วยเหลือจะมีเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อลดรายจ่ายภาครัฐเสนอต่อรัฐบาลใหม่

 

 

ดังนั้นในฐานะองค์กรภาคประชาสังคมที่ติดตามนโยบายด้านสวัสดิการสังคม ขอแสดงความไม่เห็นด้วยในแนวคิดดังกล่าว และมีความเห็นว่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุควรยกระดับเป็นระบบบำนาญประชาชนถ้วนหน้า เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ขั้นพื้นฐานของผู้สูงอายุ ทั้งนี้ พัฒนาการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากระบบสงเคราะห์ในปี 2536 ระบบถ้วนหน้าในปี 2552 อัตราขั้นบันได 600-1000 บาท ในปี 2554 แต่ไม่มีการปรับอัตราเบี้ยยังชีพมากว่า 13 ปี ต่ำกว่าเส้นความยากจน 3-5 เท่า การปรับเบี้ยยังชีพเป็นระบบสงเคราะห์จึงเป็นระบบสวัสดิการที่ถดถอย ไปกว่า 30 ปี พร้อมมีข้อเสนอดังนี้

 

 

1.ไม่เห็นด้วย กับการปรับลดงบประมาณสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถ้วนหน้า ไปเป็นแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มคนยากจน ขัดต่อหลักการสิทธิสวัสดิการแบบถ้วนหน้า และขาดการคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กระบวนการพิสูจน์ความยากจนทำให้เกิดการตกหล่นจำนวนมาก

 

 

 

2. ขอยืนยันว่า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ไม่ซ้ำซ้อนกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นนโยบายเฉพาะกลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลังในสมัยรัฐบาลคณะรัฐประหาร เมื่อพิจารณาเบี้ยยังชีพจัดได้ว่าเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ส่วนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐถือเป็นสวัสดิการส่วนขยาย ทั้งนี้ หากรัฐบาลปรับลดงบประมาณเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ให้เฉพาะผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 5 ล้านคน จะทำให้ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประมาณ 11 ล้านคน ถูกตัดสิทธิไปกว่า 6 ล้านคน

 

 

3.เห็นว่า การสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง ไม่อาจเกิดขึ้นจากการปรับลดสวัสดิการประชาชน ในทางกลับกัน รัฐควรเพิ่มการจัดเก็บรายได้และการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การปฏิรูประบบภาษีและงบประมาณให้มีบทบาทในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ได้แก่ ภาษีความมั่งคั่ง (Wealth Tax) ภาษีผลได้จากทุน (Capital Gains Tax) กำไรจากตลาดหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ภาษีอัตราก้าวหน้า ภาษีที่ดินรวมแปลง ภาษีที่ดินที่ใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ (Vacancy Tax) การปรับปรุงการลดหย่อนและยกเว้นภาษีในลักษณะผู้มีรายได้น้อยเอื้อผู้มีรายได้สูง การพัฒนากระบวนการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพ การจัดลำดับความสำคัญงบประมาณ เช่น การปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม กำลังพล อาวุธยุทธภัณฑ์ รวมทั้งการปฏิรูประบบราชการ

 

 

ด้านนายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) กล่าวว่า ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังได้ออกมาชี้แจงในภายหลังว่ากระแสข่าวดังกล่าวเป็นการนำเสนอที่คลาดเคลื่อน ซึ่งในความจริงเป็นแนวทางการพิจารณาลดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในกลุ่มผู้มีรายได้สูง เพื่อกระจายมาให้กลุ่มที่มีรายได้น้อยมากขึ้น ทางกลุ่มมองว่าขอรับฟังคำชี้แจงโดยตรงเสียก่อน แต่ส่วนตัวมองว่าไม่ควรเป็นการตัดสิทธิ์แต่ควรให้กลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้สูงนั้นสละสิทธิ์มากกว่า

 

 

เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งระบบ พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีพรรคการเมืองใดหนุนหลังตามที่บางฝ่ายกล่าวอ้าง และที่ผ่านมาในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ทางกลุ่มได้เดินสายพบพรรคการเมือง เพื่อนำเสนอแนวทางการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ เป็น3000 บาท ซึ่งอาจเป็นการปรับเป็นขั้นบันได เพราะเข้าใจถึงความจำกัดของงบประมาณ

 

 

ทั้งนี้ นายชาญวิทย์ นาคบุรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นตัวแทน รับหนังสือและจะประสานงานกับแกนนำ ถึงกำหนดวันหารือกับปลัดกระทรวงการคลังอีกครั้ง ซึ่งในเบื้องต้นทางกลุ่มฯ ขอเป็นวันที่ 17 ส.ค.นี้ แต่ต้องรอความชัดเจน จากกระทรวงการคลังอีกครั้ง

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube