ออเนอร์ (HONOR) เผยคอนเซปต์ใหม่ “มือถือสู่กระเป๋าเงิน” ด้วยการเปิดตัวออเนอร์ วี เพิร์ส รวมทั้งเปิดตัว ออเนอร์ เมจิก วี2 และเพิ่มสีใหม่ให้กับออเนอร์ 90
ออเนอร์ยังเปิดตัววิสัยทัศน์ทางกลยุทธ์ พาส่องอนาคตของวงการสมาร์ตโฟนที่งานไอเอฟเอ (IFA) ประจำปี 2566 ซึ่งระหว่างการกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Unfold Tomorrow” นั้น จอร์จ จ้าว ซีอีโอของออเนอร์ ได้ประกาศพันธสัญญาของแบรนด์ในการทำให้สมาร์ตโฟนพับได้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ รวมถึงสมาร์ตโฟนพับได้ที่บางและเบาที่สุดของออเนอร์อย่างรุ่นเมจิก วี2 (Magic V2)
ออเนอร์ วี เพิร์ส (HONOR V Purse) สะท้อนคอนเซปต์ใหม่ของสมาร์ตโฟนพับได้ให้กลายเป็นกระเป๋าเงินที่เอาไว้โชว์ได้จริง ๆ เปิดโอกาสในการโชว์สไตล์และความเป็นตัวของตัวเอง
“สมาร์ตโฟนพับได้ของออเนอร์นั้นพัฒนามาไกลมาก แต่ละรุ่นต่างสะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าที่โดดเด่นในด้านการออกแบบ ฟังก์ชันการทำงาน และความทนทาน” จอร์จ จ้าว ซีอีโอของออเนอร์ กล่าว “ไม่เพียงเท่านั้น เพราะการนำเสนอแนวคิดมือถือสู่กระเป๋าเงินของเราผ่านออเนอร์ วี เพิร์ส เปิดโอกาสให้เราได้สำรวจโซลูชันที่ยั่งยืนซึ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพับได้ เพื่อเสริมพลังความคิดสร้างสรรค์และกำหนดรูปแบบการใช้ชีวิตในอนาคต”
ออเนอร์ วี เพิร์ส บางไม่ถึง 9 มม. เมื่อพับแล้ว ซึ่ ทำให้พกพาสะดวก โดยจะเปลี่ยนสมาร์ตโฟนแบบพับได้ให้กลายเป็นไอเท็มแฟชั่นสุดชิคได้อย่างราบรื่น ด้วยชุดจอแสดงผลตลอดเวลา (AOD) ที่ปรับแต่งได้ ซึ่งดีไซน์มาให้คล้ายกับกระเป๋าถือ รวมถึงองค์ประกอบที่ใช้ในการออกแบบกระเป๋า เช่น โซ่ ขนนก และพู่ ที่แกว่งไกวไปกับสมาร์ตโฟนขณะเคลื่อนที่
สมาร์ตโฟนต้นแบบรุ่นนี้ยังมีสายรัดให้เลือกและโซ่ที่ถอดเปลี่ยนได้ ซึ่งติดอยู่กับบานพับเพื่อให้สะพายสมาร์ตโฟนขึ้นไหล่ได้ง่าย ๆ เหมือนเป็นกระเป๋าเงินหรือกระเป๋าถือทั่วไป ทำให้กลายเป็นกระเป๋า “อิทแบ็ค”
ออเนอร์ วี เพิร์ส ออกแบบโดยคำนึงถึงความยั่งยืน แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นที่ออเนอร์มีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกเหนือจากการเลือกใช้วัสดุที่มาจากแหล่งยั่งยืน เช่น หนังวีแกนสำหรับสายรัดแล้ว จอแสดงผลตลอดเวลาที่ปรับแต่งได้ตามคอนเซปต์นี้ยังนำมาจับคู่กับชุดใด ๆ ก็ได้
ในขณะที่อุตสาหกรรมแฟชั่นก้าวข้ามโลกทางกายภาพไปสู่โลกดิจิทัลมากขึ้น เทคโนโลยีก็เปิดโอกาสให้ได้โชว์สไตล์และตัวตนได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ด้วยวิธีเล็ก ๆ นี้ ออเนอร์ วี เพิร์ส สามารถช่วยให้ผู้บริโภคผู้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมลดการใช้สินค้าในกลุ่มฟาสต์แฟชั่นได้ และยังช่วยให้โลกแฟชั่นเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อน้อยลงและใช้ให้นานกว่าเดิม