“ชัยวัฒน์” สส.ก้าวไกล หวั่นเงินดิจิทัล 1 หมื่นเป็นเหตุทำลายเศรษฐกิจไทย ชี้ยังไม่เหมาะแจกเงินถ้วนหน้า จี้แจงแหล่งที่มาของงบประมาณ
นายชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาล ว่า จากสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน และการคาดการณ์ถึงครึ่งปีหน้า ยังไม่เหมาะสมที่จะกระตุ้นการบริโภคผ่านนโยบายการแจกเงินถ้วนหน้าตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง เพราทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ, สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ยังบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัว ครึ่งปีแรก สามารถขยายตัวได้ 2.2% บ่งชี้การใช้จ่ายกำลังเพิ่มขึ้น ทั้งการบริโภค และการลงทุนหลังผ่านพ้นช่วงโควิด-19 แต่ปัญหาที่กดดันการขยายตัวเศรษฐกิจไทย อยู่ที่การส่งของออกประเทศที่หดตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกับจีน ที่เป็นคู่ค่าหลักของไทย จนทำให้การส่งออกของไทยหดตัวลงติดต่อกัน 10 เดือนแล้ว รวมถึงทั้งธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ และ ไอเอ็มเอฟ ได้ปรับลดคาดการ GDP ในปี67 ของสหรัฐอเมริกา และจีน
ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อการส่งออก และการส่งออกของไทย ดังนั้น ปัญหาเศรษฐกิจไทยอยู่ที่การส่งออก และอัตราการบริโภคภาคเอกชน สามารถฟื้นตัวได้ดีอยู่แล้ว จึงไม่เหมาะที่รัฐบาลจะใช้มาตรการทางการคลังมากระตุ้นการบริโภคของเอกชน และควรพิจารณาจังหวะเวลาให้เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงอัตราการบริโภคภาคเอกชนหดตัว และหากรัฐบาลยังเดินหน้านโยบายดังกล่าว
อาจจะเกิดปัญหาต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย และเห็นรัฐบาล รัฐบาลควรทบทวนนโยบายเพื่อแก้ปัญหาการส่งออก และแก้ปัญหาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ให้ SMEs มีความสามารถในการแข่งขัน สามารถทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่ขยายตัวได้เร็ว มากไปกว่าการแจกเงินที่ไม่ถูกจุด ไม่ถูกเวลา
นายชัยวัฒน์ ยังมั่นใจว่า นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเลตของรัฐบาลที่อ้างจะเป็นการสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจนั้น เป็นการคาดการที่สูงเกินไป และไม่สามารถเกิดได้จริงตามที่กล่าวอ้าง เพราะประชาชนจะใช้เงินดิจิทัลที่รัฐบาลอัดฉีดมา โดยไม่ได้ใช้เงินสด การใช้จ่ายจึงไม่ขยายตัว และรั่วไหลทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนมือ และจะกลายเป็นพายุไต้ฝุ่น ที่บ่นทำลายเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย และทิ้งซากเป็นหนี้สิน เป็นภาระทางการคลังของประเทศ และหันกลับมาทำลายรัฐบาลเอง พร้อมเชื่อว่า ผลลัพธ์ของนโยบายนี้ ไม่ได้มากตามที่นายกรัฐมนตรีโฆษณาไว้ตามเทคนิคการหาเสียง
และจะทำให้สูญเสียงบประมาณสำหรับนโยบายอื่น ๆ และมั่นใจว่า นโยบายนี้ ยังมีเงื่อนไขต่าง ๆ ที่จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ เช่น การใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตรตามทะเบียนบ้าน เพราะประชาชนหลายคน ไม่ได้พำนักใช้ชีวิตตามภูมิลำเนาทะเบียนบ้าน และรัศมี 4 กิโลเมตร จะมีร้านค้าที่มีศักยภาพในการรับชำระเงินแบบดิจิทัลวอลเลตด้วยหรือไม่หรือบางร้านอาจบวกต้นทุนเพิ่มไปในสินค้า เพราะการขึ้นเงินที่ยุ่งยาก และอาจเกิดการทุจริต นำเงินดิจิทัล 10,000 บาท มาแลกเป็นเงินสด 8,000 บาทได้
นายชัยวัฒน์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงแหล่งงบประมาณที่จะนำมาใช้ดำเนินนโยบายดังกล่าวนี้ด้วย เพราะจะต้องใช้งบประมาณกว่า 560,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายสำหรับการพัฒนาระบบ และจัดการดูแลระบบ และที่ผ่านมาแม้พรรคเพื่อไทย จะยืนยันว่าจะไม่มีการกู้เงินเพื่อดำเนินโยบายดังกล่าว แต่จากการพิจารณาแหล่งงบประมาณต่างๆแล้ว จึงยังมองไม่เห็นภาพว่า รัฐบาลจะนำงบประมาณมาจากที่ใดโดยไม่กู้งบประมาณ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews