Home
|
บันเทิงไทย

“นีโน่ สุดที่รัก” เล่าวินาทีเฉียดตาย เชื่ออาถรรพ์ เห็นชาวนุ่งขามห่มขาวยืนกลางน้ำ

Featured Image
“นีโน่ สุดที่รัก” เล่าวินาทีเฉียดตาย เชื่ออาถรรพ์ เห็นชาวนุ่งขามห่มขาวยืนกลางน้ำ ห่วง “แน็คกี้” ยังโทษตัวเอง

 

พระเอกลิเกดัง “นีโน่ สุดที่รัก” จากคณะลิเก สองเทพบุตรสุดที่รัก เล่าวินาทีเฉียดตาย เกือบสิ้นชื่อ หลังแสดงลิเกเรื่องชาละวัน หวิดจมน้ำ  ขณะที่น้องชาย “แน็คกี้” ก็วูบล้มกลางเวที จนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ งานนี้เจ้าตัวเอ่ยปากเชื่อเรื่องอาถรรพ์ เพราะมีคนในงานเห็นผ็ชายนุ่งขาวห่มขาวยืนกลางน้ำ เผยห่วงน้องชายคิดโทษตัวเองเกือบทำให้ต้องดับทั้งคู่

         “สำหรับโน่มันผ่านมาแล้ว เราก็ไม่ได้อยากไปทำให้น้องเสียขวัญเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้พ่อเอกชัยก็โทรมาหาโน่ แกก็ถามว่าเป็นอย่างไรบ้างลูกเจ็บตรงไหนบ้างไหม พ่ออยู่นี่นะ วันนั้นเป็นวันเกิดพ่อด้วย แกก็เป็นห่วงสภาพจิตใจเราแหละว่าเราเป็นอย่างไร เราก็เลยถามพ่อว่าได้คุยกับแน็คกี้หรือยัง พ่อก็บอกว่าได้คุยกับน้องแล้ว ตอนแรกแกก็กะว่าจะด่า แต่พอน้องพูดมาคำเดียวว่า ผมผิดเองพ่อ ผมเกือบจะทำให้พี่ตายต่อหน้าต่อตา ผมขอโทษ พอพ่อได้ยินคำนั้นแกก็ร้องไห้เลย จากคำที่พ่อคิดว่าจะด่า ก็เลยกลายเป็นต้องให้กำลังใจ ด้วยความที่หลายคนจะรู้แล้วว่าแน็คกี้ เป็นคนห่ามๆ จะทำอะไรก็แล้วแต่เพื่อสร้างความสุขให้กับคนดู เขาก็จะจะเป็นคนที่สุด แต่ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่เราไม่ได้คาดหวัง เขารู้ว่าเขาไหว เขารู้ว่าเราว่ายน้ำเป็นอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้คิดว่าธรรมชาติจะไม่ได้ร่วมมือร่วมใจไปกับเราด้วย”

 

“พอเราลงไปด้วยความตกใจ พอแน็คกี้ดึงเรือโน่ โน่ก็ตกใจ เราก็สำลักน้ำ เราก็ตั้งสติ พอว่ายน้ำแต่มันไม่ไป ก็เห็นเชือกอยู่ไกลๆ ว่ายไปหาเชือก แต่ก็ไม่ไหวแล้ว เลยต้องหาเครื่องยึดเกาะ พอยึดเกาะได้เหลือก็จมไปอีกเพราะตัวคน ต้องบอกเลยว่าสติสำคัญมาก คิดเลยว่าถ้าเราไม่มีสติแค่นิดเดียวโน่ตายเลย พอดีสังเกตุเห็นเอ็นที่หัวเรือ ก็ควานหาเอ็น พอจับได้ก็บอกให้ข้างบนรีบดึงเลยเพราะเราไม่ไหวแล้ว แต่ก็ไม่ได้พยายามแสดงกิริยาให้คนรู้ว่าเราไม่ไหว เพราะว่าวันนั้นมันเป็นร้านเหล้า คนก็ดื่ม มีพี่น้องแฟนคลับที่เขารักโน่มากไปงานนั้นหลายคน และถ้าหากว่าเขาเห็นว่าเราไม่ไหว แล้วถ้าเกิดเขากระโดดลงมา  ก็กลัวมากเลยว่าจะกลายเป็นหลายๆคน ทีนี้ก็ต้องพยายามให้รู้ว่าเราไหว แต่เราไม่ไหวแล้ว พอขึ้นไปได้ก็คิดอย่างเดียวว่างานยังไม่จบ ก็ต้องร้องเพลงต่อ แต่ตอนนั้นเริ่มเบลอแล้วแหละ  ด้วยความที่เราเหนื่อย แล้วก็ช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย เพราะถ้าเราไม่มีสตินิดเดียวเราตายเลยนะตอนนั้น”

 

“ แน็คก็เหมือนกัน มันบอกว่าตอนที่มันว่าย มันก็เป็นห่วงผมอย่างเดียวเลย พี่กูตายแน่ แล้วพอรอดมาได้ตัวมันเองก็ไม่ไหวแล้ว จะเป็นลม หน้าซีดแล้ว เราก็บอกน้องว่าไม่ต้องร้อง เดี๋ยวเราลองต่อแล้วจบเอง พอเราขึ้นไปเราก็พยายามตั้งสติ เพราะคนก็เยอะ เราก็ทำสถานการณ์มาให้ดูตึงเครียด พอเราร้องเสร็จปุ๊บ น้องก็บอกว่าไม่เป็นไร ผมไหว แต่วันนั้นมีเพื่อน และพี่ที่เป็นพยาบาลอยู่แล้ว เขาก็วัดชีพจร เขาก็บอกว่าแน็คไม่น่าจะไหว เลยเรียกรถพยาบาลมาสแตนด์บายไว้ก่อนอยู่แล้ว แต่มันก็บอกว่าไหว พอขึ้นไปเพลงสุดท้าย มันเป็นเพลงของเค้าเองแล้วเขาต้องเต้น เขาก็ต้องใส่ให้สุด แล้วพอจบเพลงพี่โยเขาก็ยกเค้กมาเป่าวันเกิดให้ เราก็เริ่มเบลอแล้ว แต่ก็พยายามมองหาน้อง แต่ที่เราไม่ได้แสดงอาการอะไร เพราะเรารู้แล้วว่าน่าจะมีคนดูแลน้องอยู่แล้ว เราเลยไม่ได้ห่วงอะไรแล้ว”

 

“ พอไปถึงโรงพยาบาล ตัวเราเองก็ต้องไปตรวจด้วยเพราะว่าสำลักน้ำ คุณหมอก็ให้เอกซเรย์ปอด สแกนสมอง ล้างตา เพราะว่าตาเราแดงมากเนื่องจากเราลืมตาในน้ำที่มันสกปรกด้วย เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นบทเรียนและเป็นเครื่องสอนใจให้เรารู้ว่าเราอย่าประมาทแบบนี้อีก และเป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกคนด้วยว่า เราควรจะมีสติอยู่เสมอ อะไรก็แล้วแต่เราไม่ควรที่จะประมาท เราคิดว่าเราไหวก็จริง แต่บางทีสถานการณ์ที่เราไม่ได้คิดเอาไว้อย่างธรรมชาติ อย่างใต้น้ำ เราไม่รู้เลยว่าข้างบนน้ำนิ่งแต่ข้างล่างล่างอาจจะไหลลึก”

 

“ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าโชคดีที่รอดมาได้ แล้วเราก็เป็นห่วงความรู้สึกของน้อง ด้วยความที่เขาเป็นซึมเศร้าอยู่แล้วด้วย พอไปที่ห้องไอซียู พอน้องเห็นเรา เขาก็ร้องไห้ แล้วก็ขอโทษ ที่เกือบจะทำให้คนที่รักที่สุดตายไปต่อหน้าต่อตา ด้วยความคิดของตัวเองของตัวเอง ที่ไม่ได้ยั้งคิด เราเลยไปลูบหัวน้อง แล้วก็บอกว่ามันผ่านไปแล้ว จะได้เป็นเครื่องสอนว่าเราจะได้ไม่ประมาทแบบนี้อีก”

 

“ สำหรับคนที่มองว่าเป็นเรื่องอาถรรพ์ อันนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของวิจารณญาณของแต่ละคน แต่สำหรับโน่เอง โน่เชื่อ แม่ก็เลยจัดของถวายให้กับสารเพียงตา แล้วก็ไปรัมถวายศาลเพียงตาตรงนั้น เพราะมีคนที่อยู่ในงานเขาบอกเราว่าตอนที่มันเกิดเหตุการณ์ เขาเห็น คนอยู่กลางน้ำ นุ่งขาวห่มขาว แต่อันนี้เป็นวิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะครับ และเนื่องด้วยเรื่องชาละวันมันเป็นความเชื่อ ด้วยอาชีพลิเกของเราและบรรพบุรุษของเรา คิดว่าเป็นเรื่องอาถรรพ์ ทุกครั้งที่เวลาเล่นเรื่องชาละวัน ต้องมีการบวงสรวง และมีการถวายของแก่พ่อชาละวันอยู่แล้วครับ”

 

“ ส่วนสภาพจิตใจจิตใจของแน็คกี้ ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรครับ ยังโทษตัวเองอยู่ เพราะว่าเขาเป็นคนที่คิดวนอยู่แล้ว เราก็พยายามให้กำลังใจเขา และบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว เราใช้ชีวิตหลังจากนี้ไม่ให้ประมาทมา พยายามพาเขาไปโน่นไปนี่ ไปคุยงานกับเขา ถามว่ากลัวจะส่งผลกระทบกับงานต่อไปไหมในเรื่องของสภาพจิตใจ โน่คิดว่าไม่ครับ เพราะเขาเป็นคนที่ไม่เอาเรื่องงานมารวมกับเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยแย่มากๆ แต่ถ้าหน้าเวทีเขาต้องใส่สุด  เพราะพ่อเอกชัยเขาสอนเสมอว่า คนดูหน้าเวทีเขาไม่ได้มาดูเราป่วย เขาไม่ได้มาดูเราไม่พร้อม หน้าเวทีทำอย่างไรก็ได้ที่จะสร้างความสุขให้กับคนดู ที่เขาอุตส่าห์เสียเวลามาดูเรา”

 

“ หลังจากที่เกิดเรื่องเราไม่ได้คิดถึงเลยว่าเป็นปีชงหรืออะไรไหม แต่พอเกิดเหตุการณ์เสร็จ อีกวันหนึ่งพ่อก็พาไปทำบุญโลงศพ พาไปทำบุญหลายที่เลยครับ เพราะพ่อแกบอกว่าพอตื่นมาอีกวันนึงแกยังร้องไห้อยู่เลย เพราะพอแกคิดภาพว่าถ้าวันนั้นลูกไม่ได้จับเอ็นเอาไว้ ลูกเราคงตายไปแล้ว แม่ก็ยังโทรมาบอกรัก ซึ่งทุกวันนี้คุณแม่จะโทรมาบอกรักทุกวันเลย”

 

“ สำหรับการไปไหว้ครูประจำปี กับคณะศรรามน้ำเพชร ก็เป็นประจำทุกปีอยู่แล้วครับ แต่พ่อครูยังไม่ได้จากไป โน่ก็จะเข้าไปหาพ่อทุกปีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันสำคัญต่างๆด้วย ซึ่งบางทีเราก็ไม่ได้ถ่ายลงโซเชียล แต่ด้วยความที่ตอนนี้ลิเกฟีเวอร์ ก็ต้องยอมรับว่าคณะศรรามน้ำเพชร เป็นบ้านที่เราเติบโต หลายคนก็จะรู้ว่าเราเกิดมาจากบ้านสอนรามน้ำเพชรตั้งแต่ยุคแรกๆ ก็ขอบคุณที่ทุกคนมาชื่นชม จริงๆมันเป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่แล้วแหละครับ เพราะว่าพ่อก็เป็นครูคนแรกของโน่เลย เป็นคนจับให้โน่รำ แม้กระทั่งตั้งชื่อให้ด้วย นีโน่สุดที่รักก็มาจากพ่อ”

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube