Home
|
ทั่วไป

พบคลัสเตอร์โควิดสถานบันเทิง604รายใน32จังหวัด

Featured Image
สธ.พบคลัสเตอร์โควิดสถานบันเทิง 604 ราย ใน 32 จังหวัด ขอกลุ่มเสี่ยงแยกตัว-สวมหน้ากาก

นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่ากรณี ติดเชื้อในสถานบันเทิง ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม – 8 เมษายน 2564 พบผู้ติดเชื้อสะสม 604 ราย ส่วนใหญ่เป็นคนไทย เพศหญิงมากกว่าชาย ผู้ติดเชื้อร้อยละ 64 ไม่มีอาการ ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุ 20-29 ปี โดยพบผู้ติดเชื้อกระจายใน 32 จังหวัด กรุงเทพมหานครพบผู้ติดเชื้อสูงสุด 310 ราย เฉพาะร้านเหล้า/สถานบันเทิงย่านทองหล่อ พบ 248 ราย ส่วนจำนวนสถานบันเทิงที่พบผู้ติดเชื้อมีจำนวน 80 ร้านใน 11 จังหวัด อยู่ในกรุงเทพมหานครมากที่สุด 52 ร้าน

โดยความเสี่ยงของสถานบันเทิงในกทม.และต่างจังหวัดมีความแตกต่างกัน แต่ความเสี่ยงไม่แตกต่างกัน แม้ว่าต่างจังหวัดสถานที่ไม่ได้คับแคบ อากาศถ่ายเทสะดวก แต่มีความเสี่ยงจากการที่มีคนไปรวมกันจำนวนมาก ไม่สวมหน้ากากป้องกัน และอยู่รวมกันเป็นเวลานาน จึงต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยง

นายแพทย์เฉวตสรร กล่าวต่อว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขไม่มีข้อห้ามเดินทางหรือการกักตัว ขึ้นกับมาตรการของจังหวัดปลายทาง แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง อาจรับเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ และอาจแพร่เชื้อต่อได้ จึงควรแยกตัว ใส่หน้ากากอย่างเข้มงวด ป้องกันการแพร่เชื้อ ส่วนประชาชนทั่วไปหากไม่มีแผนเดินทางหรือเลื่อนการเดินทางได้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเดินทางของคนจำนวนมาก หากจำเป็นต้องเดินทาง การ์ดต้องไม่ตก ป้องกันตัวเองด้วยการใส่หน้ากากตลอดเวลา และหากไปพบปะกับผู้สูงอายุ ต้องเข้มมาตรการป้องกันตนเองไม่ควรใช้เวลามากเกินไป

สำหรับหน่วยงานที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขอให้ประสานหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทันที เพื่อประเมินผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงควรตรวจหาเชื้อโดยเร็ว หากตรวจไม่พบเชื้อโอกาสแพร่เชื้อสู่ผู้ที่สัมผัสก่อนหน้านี้ไม่มี แต่ต้องกักตัวให้ครบ 14 วัน และตรวจซ้ำอีกครั้ง กลุ่มเสี่ยงต่ำให้สังเกตอาการตนเองจนครบระยะฟักตัว 14 วัน

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube