พปชร. ถล่ม MOU44 ภาคต่อ EP 3 “ธีระชัย”ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เตือนตั้ง คกก.JTC อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ชี้ MOU44 มีสถานะเป็นสนธิสัญญา
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานร่วมศูนย์นโยบายและวิชาการ พร้อมด้วย ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ที่ปรึกษาศูนย์นโยบายและวิชาการ ร่วมแถลงข่าวกรณีบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (MOU) ปี 2544 ภาคต่อ EP 3
โดยนายธีระชัย กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยจะส่งไปยังรัฐบาลในวันนี้ เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับข่าวที่ปรากฏว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคชุดใหม่ เพื่อเจรจากับกัมพูชาในกรอบ MOU 44 ซึ่งการแต่งตั้งเช่นนี้อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ โดยตนได้ให้ข้อมูลไว้สองอย่างคือ หนึ่งเป็นพยานเอกสารหลักฐานราชการ ซึ่งมีบทความที่เขียนโดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ผู้ที่ลงนาม MOU
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า พยานหลักฐานที่สองคือ แถลงการณ์ร่วมที่ลงนามโดยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน โดยมีข้อความสำคัญที่ปรากฏคือ ข้อความบรรยายว่าทั้งสองท่านไปทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU 44 รวมถึงมีข้อความที่ระบุชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายให้การรับรอง MOU 44 ฉะนั้น จึงเป็นการยืนยันว่า MOU 44 มีสถานะเป็นสนธิสัญญา
นายธีระชัย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาตรา 24 บัญญัติไว้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาต่างๆ กับนานาประเทศ ฉะนั้น การที่ MOU 44 ไม่ได้มีการกราบบังทูลต่อพระมหากษัตริย์ก็ไม่ตรงกับข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 และหนังสือใดที่มีการเปลี่ยนแปลงบทอำนาจแห่งรัฐต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งใน MOU 44 มีแผนที่แนบด้วย ซึ่งแผนที่แนบนั้นมีการกำหนดสิ่งที่เราเรียกว่าพื้นที่พัฒนาร่วม รวมถึงมีการกำหนดไว้ด้วยว่าพื้นที่พัฒนานั้น มีการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ในเรื่องของปิโตรเลียมในพื้นที่สีเขียว แต่ไม่ได้กำหนดให้ไปขยับเส้นอาณาเขตพื้นที่สีเขียว ฉะนั้น MOU 44 จึงเป็น MOU ที่ทั้งสองประเทศยอมรับพื้นที่สีเขียวเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมกันทางปิโตรเลียม
นายธีระชัย กล่าวต่อว่า การยอมรับเช่นนั้นทำให้เกิดผลคือ ทำให้พื้นที่สีเขียวตรงนั้นแหว่งออกไป และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายพื้นที่ ลักษณะเช่นนี้จึงควรต้องมีการนำเสนอต่อรัฐสภา แต่ในเมื่อMOU 44 ไม่ได้มีการกราบบังคมทูลต่อพระมหากษัตริย์และนำเสนอต่อรัฐสภา ตนจึงมีความเห็นว่าเป็นส่วนที่สัญญาซึ่งเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับมาตั้งแต่ต้น รวมถึงประชาชนก็เกิดความสงสัย เพราะมีข้อพิรุธสำคัญว่า ทำไมรัฐบาลในปี 2544 จึงทำขั้นตอนกลับทางจากกรณีไทย-มาเลเซียที่การกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมเป็นผลสุดท้ายจากการเจรจา แต่ MOU กลับไปให้กำเนิดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมตั้งแต่ต้น อันเป็นกรอบที่บีบการเจรจา ทั้งที่จะทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดน
“ประชาชนกังวลว่าเอ็มโอยูที่ไม่เจรจาอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมให้เสร็จเสียก่อน น่าสงสัยว่ามีประโยชน์ซ่อนเร้น นอกจากนี้ น่าสงสัยว่าเหตุผลแท้จริงของแถลงการณ์ร่วมนั้นอาจเพื่อมุ่งเรื่องปิโตรเลียมเป็นสำคัญเพราะประเด็นอื่นในแถงการณ์ดังกล่าวมีการประสานกันปกติอยู่แล้ว” นายธีระชัย กล่าว
นายธีระชัย กล่วต่อว่า การเจรจาความเมืองต้องใช้ทางราชการเป็นหลัก ไม่ใช่เอาคนที่มีผลประโยชน์ เป็นภาคเอกชนเข้าไปร่วม ฉะนั้น ย้ำว่าเรื่องนี้ประชาชนมีข้อกังวลและสงสัยมากว่าทำไมอยู่ดีๆ ไปทำ MOU แล้วเอาแผนที่ไปใส่ด้วย ถือเป็นข้อพิรุธ และทำให้กัมพูชาดีใจเพราะได้ประโยชน์ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเกิดความเสี่ยงในการเสียดินแดน นอกจากนี้ ยังไปยอมรับเส้น ซึ่งมาละเมิดอธิปไตยของเกาะกูด ทำให้ประชาชนกังวลว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่
“ยืนยันว่าเราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่รัฐบาลและรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล มีหน้าที่ต้องทำทุกอย่างให้กระจ่างต่อประชาชน ซึ่งวิธีที่สุดคือการจัดเวที รัฐบาลควรจะส่งคนที่ได้รับอำนาจเต็มในการชี้แจงเรื่องนี้ มาพูดคุยกับพรรคพลังประชารัฐในเวทีสาธารณะ ทั้งผม ม.ล.กรกสิวัฒน์ และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของไทย ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ไม่ได้มีการพูดคุยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุลอดีตแกนนำพันธมิตร ที่จะไปยื่นหนังสือเรื่องนี้ต่อนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 9 ธันวาคม“ นายธีระชัย กล่าว
ด้าน ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า การที่นายสุรเกียรติ์บรรยายเรื่อง MOU 44 เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมานั้น ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่มากถึงสาเหตุของการเกิดพื้นที่ทับซ้อน โดยนายสุรเกียรติ์ระบุว่าเนื่องจากกฎหมายทะเลสากลให้ทุกประเทศประกาศเขตเศรษฐกิจออกไปได้ 200 ไมล์ทะเล แต่อ่าวไทยมีความกว้างไม่ถึง 200 ไมล์ทะเล เมื่อไทยและกัมพูชาต่างฝ่ายต่างประกาศเขตเศรษฐกิจ 200 ไมล์ทะเล จึงทับซ้อนกัน
ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ขณะที่นายสุรเกียรติ์ เซ็น MOU 44 กับกัมพูชานั้น น่าจะเข้าใจกฎหมายทะเลสากลไม่ถูกต้อง ทั้งเรื่องทะเลอาณาเขต และการลากเส้นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล ปรากฎตามอนุสัญญาเจนีวา 1958 ข้อ 12 และอนุสัญญาสหประชาชาติ 1982 ข้อ 15 ที่บัญญัติว่ากรณีที่ฝั่งทะเลสองรัฐประชิดกัน ถ้าไม่ได้ตกลงเป็นอย่างอื่น รัฐใดย่อมไม่มีสิทธิขยายทะเลอาณาเลยเลยเส้นมัธยะ
ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวต่อว่า กรณีไทย-กัมพูชา เส้นมัธยะ คือ เส้นที่มีจุดเริ่มต้นจากหลักเขตที่ 73 สุดแดนจังหวัดตราดลากลงทะเล แบ่งกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง เพื่อความเป็นธรรมในการเดินเรือ ดังนั้น การขีดเส้น 200 ไมล์ทะเลจึงต้องลากต่อออกไปจากเส้นมัธยะนี้ ไม่ใช่แบบที่นายสุรเกียรติ์ อธิบายทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ว่า ทุกประเทศมีสิทธิไปลากเส้นจากฝั่งทะเลไปทิศทางใดก็ได้ 200ไมล์ ตามอำเภอใจแบบที่กัมพูชาทำ พื้นที่ทะเลรอบเกาะกูดของไทยจึงถูกกัมพูชาลากเส้นทับซ้อน ตั้งแต่ชายฝั่งไปชนเกาะกูด ซึ่งกรณีเช่นนี้ไม่ปรากฏแบบนี้ที่ใดในโลก
ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ นายสุรเกียรติ์ยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างไทยกับมาเลเซีย พม่า และเวียดนาม ที่ประสบผลสำเร็จมีลำดับขั้นตอน ดังนี้ 1.คณะรัฐมนตรีตั้งคณะเจรจาขึ้นก่อน 2.กรอบการเจรจาคือ กฎหมายทะเลสากล 3.ทำเอ็มโอยูเพื่อบันทึกผลสำเร็จของการเจรจา และ 4.ประกาศพระบรมราชโองการ รองรับเส้นเขตแดนใหม่ที่เป็นผลของการเจรจา ซึ่งทุกกรณีจะใช้กฎหมายทะเลสากลเป็นกรอบในการเจรจาทั้งสิ้น ส่วน MOU จะเกิดขึ้นเป็นขั้นตอนเกือบสุดท้าย เพื่อบันทึกผลสำเร็จของการเจรจานั้นๆ ซึ่งการเจรจาทุกประเทศมีเป้าหมายสำคัญสูงสุดคือ การกำหนดเส้นเขตแดนให้ถูกต้องเป็นอันดับแรกไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ปิโตรเลียม
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews