Home
|
อาชญากรรม

สส.เพื่อไทย-ประชาชน หนุนรายงาน กมธ.แก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า

Featured Image

 

 

สส. เพื่อไทย-ประชาชน  หนุนรายงาน กมธ. บุหรี่ไฟฟ้า ก่อนสภาฯ มีมติรับทราบรายงาน

 

 

กมธ. วิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า เสนอผลการศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 25 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง เมื่อวันพฤหัส 20 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา หลังพิจารณามาอย่างรอบคอบยาวนานถึง 480 วัน เผยข้อสรุปเพื่อนำเสนอ 3 แนวทางที่มีความเป็นไปได้ในประเทศไทยคือ 1.บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated tobacco Products) เป็นสิ่งผิดกฎหมาย 2.ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อนเป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย และ 3.บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย ซึ่งความคิดเห็นส่วนบุคคลของ กมธ. 35 คน ส่วนใหญ่จำนวน 26 เสียงเห็นควรนำมาควบคุมให้ถูกต้องแก้ปัญหาเด็กและเยาวชน

 

 

 นพ.นิยม วิวรรธนดิฐกุล ส.ส. พรรคเพื่อไทย จังหวัดแพร่ ประธานคณะกรรมาธิการกล่าวว่า หลังจากได้มีการประชุมและพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย พบว่าปัจจุบันมีบุหรี่ไฟฟ้าได้มีการระบาดอยู่ในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างมากมาย โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้าแบบน้ำยา Vape เพราะมีราคาถูกหาซื้อง่าย มีกลิ่น มีรส ให้เลือกมากมาย ซึ่งทางคณะกรรมการเห็นว่าเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ เกิดธุรกิจใต้ดินมีการลักลอบนำเข้า และขายบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะในสื่อออนไลน์ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 6-7 พันล้านบาทต่อปี  และทำให้การจำหน่ายบุหรี่ของการยาสูบแห่งประเทศไทยก็ลดลงอย่างมาก ทำให้รัฐขาดรายได้จากภาษี กระทบถึงเกษตรชาวไร่ยาสูบ

 

ประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาเช่นนี้ คือกฎหมายที่มีอยู่เริ่มล้าสมัยและขาดความชัดเจน เกิดช่องว่างในการปฏิบัติงาน และที่สำคัญคือการละเว้นปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดิน ซึ่งรายงานฉบับที่ 1 ที่ได้เสนอต่อสภานี้ คณะกรรมาธิการได้ศึกษาและรวบรวมข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ทั้งปฐมภูมิและทุติยภูมิเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ให้เหมาะสมกับบริบทความเป็นจริงในประเทศไทย โดยไม่ได้มีการลงมติว่าจะเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่ง แต่เป็นการเสนอแนวทางที่มีความเป็นไปได้ และการพัฒนาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการ ป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชน เป็นการกำหนดนิยามที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลเลือกใช้ในอนาคต

 

 

“อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ ฝ่ายบริหารจะเป็นผู้ตัดสินใจ โดยต้องตระหนักว่าบุหรี่ทุกชนิดรวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า เป็นผลิตภัณฑ์ทำลายสุขภาพ การปกป้องสุขภาพจึงมีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การปกป้องเด็ก และเยาวชนของเรา ไม่ให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างถึงที่สุด” นพ.นิยม กล่าว

 

 

ในวาระนี้ได้มี สส. หลายท่านเข้าชื่อร่วมอภิปรายเพื่อแสดงความคิดเห็น ตั้งข้อสังเกต และให้ข้อเสนอแนะในหลากหลายประเด็น อาทิ พิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งก่อผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในระยะยาว การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งเข้าไปในโรงเรียนและสถานศึกษาได้อย่างง่ายดาย นักเรียนส่วนมากมีความเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีความอันตราย ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคปอด จึงอยากเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการมีมาตรการป้องกันและจัดการกับบุหรี่ไฟฟ้าให้ดีขึ้น รวมไปถึงเรียกร้องให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดการกับร้านค้าบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ที่มีการขายและโฆษณาแอบอ้างสรรพคุณบุหรี่ไฟฟ้าอีกด้วย ควบคู่กับการให้ความรู้ที่ถูกต้องกับเด็กและเยาวชน ด้าน น.ส. ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ ส.ส. พรรเพื่อไทย แสดงความคิดเห็นสนับสนุนแนวทางที่ 2 และ 3 คือให้บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อนเป็นสิ่งที่ถูกควบคุมตามกฎหมาย พร้อมแสดงความชื่นชมรัฐบาลที่กำหนดมาตรการเด็ดขาดปราบปรามบุหรี่ 30 วัน โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้าที่เข้าถึงเด็กและเยาวชน

 

 

ด้าน นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.นนทบุรี พรรคประชาชน ซึ่งลุกขึ้นแสดงความคิดเห็นสนับสนุนแนวทางที่ 3 โดยระบุว่า ในฐานะที่ไม่สูบบุหรี่ทุกประเภท และให้ความสำคัญในการปกป้องเด็กและเยาวชนจากควันบุหรี่ อยากเห็นประเทศไทยควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าทุกประเภทให้อยู่ภายใต้กฎหมายแบบมีมาตรการที่เข้มงวด เช่น  ห้ามทำบุหรี่ไฟฟ้าเป็นรูปการ์ตูน ห้ามโฆษณา รวมถึงการห้ามสูบในที่สาธารณะ ซึ่งปัจจุบันการแบนบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยถือว่าล้มเหลว พร้อมยกตัวอย่างว่าในต่างประเทศที่มีการแบนบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนบ้านเรา อย่างประเทศบราซิล อินเดีย สิงคโปร์ เราจะพบว่า อินเดีย มีประชากรในกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเข้มงวดกับการใช้กฎหมายบุหรี่ แต่ก็มีประชากรประมาณ 5.2 เปอร์เซ็นต์ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจากตลาดมืด

 

 

ในขณะที่ข้อมูลจากเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลก WHO ได้ระบุว่าบุหรี่ทุกประเภทอันตรายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่แบบมวนหรือบุหรี่ไฟฟ้า แต่บุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงต่อโรคและการเสียชีวิตน้อยกว่าบุหรี่แบบมวน เนื่องจากไม่มีการเผาไหม้ ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจะลดความเสี่ยงของโรค และการเสียชีวิตมากกว่า หากผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้า ประเทศส่วนใหญ่กว่า 82 ประเทศทั่วโลก ใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่แทนการแบน ในขณะเดียวกัน ก็ปกป้องไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้เช่นสหรัฐอเมริกา และ 27 ประเทศในสหภาพยุโรป สหรัฐอาณาจักร นิวซีแลนด์ แคนาดา ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เป็นต้น

 

 

สำหรับประเทศไทย แม้ว่าจะมีมาตรการควบคุมยาสูบที่เข้มข้น ด้วยการขึ้นภาษีอย่างสุดโต่ง ห้ามโฆษณา ห้ามสื่อสารการตลาด ห้ามแสดงสินค้า ณ จุดขาย แต่รัฐบาลก็ยังไม่สามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ตามเป้าหมาย หากประเทศไทยเปลี่ยนจากการแบนมาเป็นการควบคุมจะส่งผลอย่างชัดเจน 4 ข้อคือ จะมีการกำกับดูแลควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น จะสามารถกำหนดนโยบายปกป้องผู้ที่ไม่สูบบุหรี่เด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้าได้ แต่ไม่จำกัดสิทธิการสูบของผู้ใหญ่ เพราะปัจจุบันทุกอย่างอยู่ใต้ดินไม่มีการควบคุม หาซื้อได้ทางออนไลน์ รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าเข้าเป็นรายได้ของรัฐได้อีก เพื่อนำรายได้เหล่านี้ไปสำหรับสนับสนุนโครงการอื่นๆ ที่รัฐวางแผนไว้ และเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้กับเกษตรกรชาวไร่ยาสูบกว่า 2 หมื่นครัวเรือน สามารถจะนำเอาใบยาสูบมาสกัดเป็นนิโคติน หรือสกัดผลิตเพื่อส่งออก เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรในประเทศ

 

 

ช่วงท้ายของการอภิปราย นายนิยม วิวรรธนดิฐกุล ประธาน กมธ.ฯ นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล รองประธาน กมธ. คนที่สอง รศ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา นายปรีติ เจริญศิลป์ และ นายชยนันท์ สิทธิบุศย์ กรรมาธิการ กมธ. ชี้แจงว่ากรรมาธิการทั้ง 35 คน ได้ประชุมกันมาเป็นเวลากว่า 1 ปีจำนวน 39 ครั้ง มีข้อมูลและความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่พร้อมจะรับฟังทุกข้อโต้แย้งและทำงานร่วมกับทุกฝ่าย เพราะการปกป้องเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้าต้องอาศัยความร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ ไม่สร้างความขัดแย้งกับผู้เห็นต่าง เพราะการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าได้ลุกลามไปทั่วโลกไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทย จนเรียกได้ว่าเป็นปัญหาด้านสาธารณะสุขระดับโลก ขณะนี้ ประเทศไทยเรายังไม่มีกฎหมายเฉพาะสำหรับบุหรี่ไฟฟ้า จึงอยากฝากไปยังรัฐบาลและสังคมโดยรวมมว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมี พรบ. เฉพาะสำหรับเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจน

 

 

ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับรายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ โดยไม่มีผู้คัดค้าน หลังจากรับฟังการอภิปรายของสมาชิกฯ ซึ่งมีความเห็นสอดคล้องกัน ประธานฯ จึงใช้อำนาจตามข้อบังคับฯ ถามที่ประชุม และเมื่อไม่มีผู้เห็นแย้ง ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบและส่งรายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube