ทัวร์จีนเมินเที่ยวไทย ผวาโดนอุ้มเรียกค่าไถ่
ทัวร์จีน เมิน เที่ยวไทยผวาโดนอุ้ม เรียกค่าไถ่
จับสัญญาณเศรษฐกิจไทยผ่านยอดการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งรายได้สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะล่าสุด มีเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยว ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีจำนวนลดลง ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่ายอดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย หายไปกว่า 60-70% แล้ว สาเหตุใหญ่ที่ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนลดลงนั้นมาจากความกังวลและความไม่เชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย
“ถ้าคำนวณเป็นตัวเลข ตอนนี้หายไปประมาณ 60-70% คงอย่างที่ทราบ ๆ กันว่าความเชื่อมั่น ว่าเขาก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัย สื่อที่ออกไปสู่ทางเขาที่มันเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งเป็นการโดนอุ้มหาย โดนการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ต่างๆพวกนี้ มันทำให้ความเชื่อมั่น ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในบ้านเราลดลง แล้วก็ประกอบกับทางบริษัททัวร์จีนต่าง ๆ ตอนนี้ ที่เคยขายมาไทยเยอะ ๆ ตอนนี้ก็ไปบุกตลาดใหม่ไปเวียดนาม ไปญี่ปุ่น ทำให้มีทางเลือกเพิ่มขึ้น เขาก็เลยเปลี่ยนแนวจากการที่มาเที่ยวเมืองไทย ย้ายไปเที่ยวที่อื่นด้วย” ดร.วสุเชษฐ์ กล่าว
และสิ่งสำคัญที่อยากให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการคืออะไร ดร.วสุเชษฐ์ กล่าวอีกว่า อันดับแรกอยากให้รัฐบาลและเอกชนมาประชุมร่วมพูดคุยกัน เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“ก็อยากให้มามุ่งเน้น เบื้องต้นเลยไม่ต้องอะไรมาก มาจับเข่าคุยกันเพราะตอนนี้รัฐบาลทำทาง เอกชนทำทางนึง มุมที่ทางภาครัฐทำ บางที่มันไม่ตรงกับเป้าในการทำตลาดของภาคเอกชน เพราะฉะนั้นจะต้องมาร่วมมือกัน แล้วก็เดินไปในแนวทางเดียวกัน แล้วก็มุ่งเน้นโปรโมทต่าง ๆ ให้มันเยอะขึ้น อย่างโครงการซอฟต์พาวเวอร์ที่พยายามทำอยู่ตรงนี้ บางทีก็ไปไม่ถึงเป้าที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเห็น แล้วก็ตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย”
นอกจากนี้ ดร.วสุเชษฐ์ ยังได้ฉายภาพรวมธุรกิจผู้ประกอบการรถทัวร์ขนส่งเพื่อการท่องเที่ยวไว้อย่างน่าสนใจโดยกล่าวว่า ในช่วงก่อนโควิด-19 มีรถในระบบวิ่งอยู่กว่า 40,000 คัน แต่วันนี้เหลือเพียงแค่ 14,000 คันเท่านั้น
“ซบเซาครับ ใกล้เริ่มที่จะมีการลมหายใจจากกันไปเรื่อย ๆ อย่างที่บอกตลาดงานตอนนี้หายไปประมาณ 50% เป็นอย่างน้อย อย่างจีนหายไป 70%เลย ตลาดคนไทยก็เงียบเหงาเพราะว่าช่วงนี้ก็เป็นช่วงงบประมาณท้องถิ่นเองก็เดินทางไม่ได้เพราะว่ามีการเลือกตั้งพวกนายกเทศบาลต่างๆ พวกนี้ การศึกษา ดูงานท้องถิ่นก็ซบเซาลงไป”
นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย กล่าวอีกว่า เมื่อภาพรวมธุรกิจซบเซาทำให้ผู้ประกอบการมีการปรับตัว แต่บางรายสู้ไม่ไหว จึงต้องปิดตัวเวลาต่อมา
“ก็ตอนนี้สาหัสพอสมควร เพราะว่า กลุ่มที่ไม่มีภาระหนี้สินก็เริ่มปรับตัวด้วยการรัดเข็มขัด ส่วนกลุ่มที่มีภาระหนี้สินต่างๆก็ค่อนข้างลำบาก ต้องมีการเจรจากับสถาบันการเงินต่างๆพอสมควร เพราะรายได้ไม่เข้าเป้า หายไปประมาณ 50% ตอนนี้รถในระบบ
ที่เป็นรถนำเที่ยวมีประมาณ 14,000 – 15,000 คัน ซึ่งแต่ก่อนที่เกิดโควิดมีประมาณ 40,000 คัน และก็ลดลงมาเรื่อย ๆ และเมื่อปี 67 ก็ทำท่าที่จะขยับขึ้นมา แต่ตอนนี้ปลาย 67 ต้นปี 68 กราฟก็ดิ่งเหวลงมาอีก”
ดังนั้นวันนี้ผู้ประกอบการจึงอยากเรียกร้องให้ภาครัฐ มาหารือร่วมกับทุกภาคส่วนในธุรกิจท่องเที่ยวเพื่อที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“ก็อยากให้มองเป้าให้ชัดเจนของการท่องเที่ยว เพราะว่าเราเคยภูมิใจและเราก็เคยพูดมาตลอดว่า การท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญรองจากอุตสาหกรรมส่งออกแต่ตอนนี้การท่องเที่ยวต้องยอมรับภาพจริงๆว่ามันซบเซาลงไป อย่าไปเอาตัวเลขที่มีอยู่จากสนามบินว่านักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้น แต่จริงๆแล้วในแวดวงธุรกิจ ก็เห็นๆอยู่ ว่าธุรกิจท่องเที่ยวลดลง ซบเซาลงไปก็ต้องมานั่งคุยกัน แล้วก็หาทางออกร่วมกันโดยด่วน ไม่เช่นนั้นปล่อยไปแบบนี้ มันไม่น่ารอดกันทั้งหมดทั้งภาคเอกชนและภาพรวมของการท่องเที่ยวทั้งหมด”
จากนี้ต่อไปจะต้องจับตาการขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยอย่างใกล้ชิดเพราะการท่องเที่ยว ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมในการเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews