Home
|
ข่าว

นายกฯย้ำรักษาโควิดฟรีขู่ฟันรพ.เรียกเก็บ

Featured Image
นายกรัฐมนตรี ย้ำรักษาป่วยโควิดฟรี ลั่นเอาผิด รพ.เอกชนเก็บเงินประชาชน มั่นใจคุมแพร่ระบาดได้เร็วนี้ เร่งปูพรหมคัดกรอง ระดมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง?การรักษาพยาบาลของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขอยืนยันว่า รัฐบาลจะดูแลค่ารักษาพยาบาลให้ประชาชนตามสิทธิ์ ตั้งแต่การตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง รับวัคซีน ชดเชยกรณีได้รับผลข้างเคียง และการรักษาพยาบาล ส่วนกรณีโรงพยาบาลเอกชนรัฐอุดหนุนค่าใช้จ่ายไปที่โรงพยาบาลเอกชนเพิ่มร้อยละ 25 ทุกรายการ หากมีประกันส่วนบุคคลให้โรงพยาบาลเรียกเก็บประกันส่วนบุคคลก่อน ที่เหลือให้เรียกเก็บกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยห้ามโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากประชาชน หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังมีเงินประกัน สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้เสียสละเสี่ยงภัย ทำงานอย่างหนักในขณะนี้ โดยในวันนี้ โอนได้พบกับนายกสมาคมประกันภัย ได้มีการทํากรมธรรม์ประกันภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด กับผู้ติดเชื้อจำนวน 270,000 ราย วงเงินความคุ้มครองมากกว่า 270,000 ล้านบาท ในกรณีเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต รายละ 1 ล้านบาทขอประชาชนอย่าฟังข่าวที่ไม่ได้ออกมาจากทางรัฐบาล ยืนยันว่าจะดูแลทั้งหมดทั้งประชาชนเจ้าหน้าที่บุคลากรด้านหน้า

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอร้องให้ประชาชนระมัดระวังตัวเองมากที่สุด ขณะนี้ยังไม่พ้นจากการแพร่ระบาดในระลอกนี้ ขอให้ป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ โดยผู้ติดเชื้อจำนวนมากในระลอกนี้เป็นการติดเชื้อในครอบครัว เพื่อนที่ทำงาน สถานประกอบการต่างๆ ดังนั้น หากร่วมมือกันจะชนะศึกครั้งนี้ได้ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม เจ้าหน้าที่ทุกคนทั้งหมอพยาบาลเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขอาสาสมัคร จึงอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยชาติก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ คำนึงถึงผลกระทบ จากการใช้ข่าวสารที่ไม่รู้ที่มาไม่มีการตรวจสอบข้อมูล นอกจากนั้นอาจมีข้อมูลเท็จหรือเฟคนิวส์ โดยขอให้หยุดการกระทำเหล่านี้ เพราะเป็นการซ้ำเติมสร้างความเดือดร้อนและความเสี่ยงให้กับตนเอง คนรอบข้างและประเทศชาติ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดและดำเนินการตรวจสอบและจะดำเนินการทันที

 

นายกฯมั่นใจคุมแพร่ระบาดได้เร็วนี้ เร่งปูพรหมคัดกรอง ระดมฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ในฐานะ ผอ.ศบค. รายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยเฉพาะคัตเตอร์คลองเตย ที่ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมือง มีงานอยู่เป็นจำนวนมากส่งผลกระทบความปลอดภัยของประชาชน ทั้งนี้ ในฐานะ ผอ.ศูนย์ ศบค.กทม.และ ปริมณฑล ได้สั่งการเน้นย้ำทุกหน่วยงานระดม สรรพกำลังเข้าป้องกันอย่างเต็มที่ โดยมียุทธวิธีสำคัญในการเอาชนะศึกครั้งนี้ คือ การระดมตรวจเชิงรุกให้ได้มากที่สุด ในพื้นที่เป้าหมายตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการตรวจไปแล้ว 70,000 รายในพื้นที่เสี่ยง เฉลี่ยวันละ 7,000 ราย สามารถคัดแยกผู้ติดเชื้อเข้าสู่การรักษาได้ทันเวลา และคัดแยกผู้มีความเสี่ยงสูงเข้ากักตัวเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดและจำกัดวงแพร่ระบาดให้แคบที่สุดและสั้นที่สุด ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ที่เกิดจากการตรวจหาเชิงรุกแบบปูพรม ซึ่งทีมแพทย์มีความเชื่อมั่นว่าวิธีนี้จะทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า และยอดผู้ติดเชื้อจะค่อยๆ ลดลง ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี ที่ขณะนี้ผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯ เริ่มทรงตัวแต่ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ โดยต้องเร่งตรวจหาเชิงรุก ให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันต้องเร่งระดมการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ให้แก่ประชาชนให้มากที่สุดโดยขณะนี้ได้มีการฉีดวัคซีนในพื้นที่คลองไปแล้วกว่า 13,000 คน หรือประมาณ 30% ของเป้าหมายที่ต้องฉีดให้ได้อย่างน้อย 50,000 คน

ขณะที่ในพื้นที่ เขตปทุมวัน ได้มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน 50% ของเป้าหมายที่มีประมาณ 14,000 คน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วทั้งสองเขตฉีดวัคซีนได้ถึงวันละ 2,000 คน ซึ่งผลการดำเนินงาน ในกลุ่มคลัสเตอร์ คลองเตย จะเป็นแนวทางในการจัดการแพร่ระบาดพื้นที่อื่นๆ กทม.และปริมณฑลรวมถึงพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงสีแดง หากในอนาคต มีการแพร่ระบาดอีกก็จะใช้แนวทางในการปฏิบัติ ต่อไป

นายกฯแจง พ.ค.ได้วัคซีนเพิ่ม 3.5 ล้าน ยันจัดหาได้เพียงพอแน่นอน เยียวยา-ผ่อนคลายมาตรการพิจารณารอบคอบรักษาสมดุลสุขภาพ-เศรษฐกิจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า สิ่งที่ตนเองและรัฐบาลพยายามวางแผนทุกวัน คือ จะช่วยเหลือเยียวยาประชาชนจากผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ติดตามดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมสถานการณ์ในแต่ละจังหวัดได้ประเมินสถานการณ์วันต่อวัน หากจังหวัดใดโดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดสีแดง ที่มีการปิดสถานที่และข้อจำกัดต่างๆ และมีสถานการณ์ที่สามารถควบคุมได้ดีขึ้นแล้วให้มีการพิจารณาผ่อนคลายเงื่อนไขต่อไปเพื่อให้ประชาชนได้กลับเข้าสู่การค้าขาย การเดินทางท่องเที่ยวได้เช่นเดิม ยืนยันว่า ตนจะพิจารณาด้วยความรอบคอบเพื่อรักษาสมดุล ทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจควบคู่กันไป

นอกจากนี้ ด้านวัคซีน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ผ่านมามีการระดมฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง รวมไปถึงผู้สูงอายุ ซึ่งบางคนอาจอยู่ที่บ้านไม่สามารถเดินทางมาฉีดวัคซีนได้ โดยเร่งรัดทุกอย่าง และได้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 2 ล้านโดส ตามวัคซีนที่มีอยู่ โดยในแต่ละวันจะระดมฉีดวัคซีนให้ได้หลายหมื่นโดส ส่วนมาตรการการจัดหาวัคซีนฉุกเฉินของรัฐบาล ได้วัคซีนเพิ่มในเดือนนี้อีก 3.5 ล้านโดส ซึ่งต้องค่อยๆสร้างความเข้าใจ สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนเนื่องจากอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ซึ่งอาจจะเป็นการทยอยจัดส่งวัคซีน เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นที่ได้ยินดีแล้วว่าน่าจะชัดเจนแล้วว่าวัคซีนจะเข้ามาถึงไทย 3.5 ล้านโดส รวมถึงมีความร่วมมือกับภาคเอกชนที่จะเพิ่มศักยภาพในการฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า จะสามารถจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนภายในประเทศได้อย่างแน่นอน และจะไม่หยุดในการจัดหาและสำรองใช้เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคนซึ่งประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่จะเป็นศูนย์กลางในการผลิตวัคซีน โควิด-19 ของบริษัท astrazeneca ที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์
ซึ่งมีมาตรฐานสูง ผ่านการรับรองคุณภาพจากทั่วโลกและจะสร้างความมั่นคงยั่งยืนในการต่อสู้ไวรัสโควิด-19 ในระยะยาว และสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจการแข่งขันให้กับประเทศชาติในอนาคต

 

นายกฯชวนประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีน ยกเป็นวาระแห่งชาติ ยันทุกชนิดมีคุณภาพป้องกันการป่วยรุนแรง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ ดำเนินการอย่างครบวงจร ทั้งการจัดหา การกระจาย รวมไปถึงการฉีด เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศไทยแต่ทั้งหมดจะเป็นจริงไม่ได้ หากประชาชนในประเทศไม่เข้ารับการฉีดวัคซีน โควิด -19 จึงขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด
เพื่อให้ประเทศไทยนั้นสามารถเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมขอรับรองว่าวัคซีนทุกชนิดที่นำเข้ามายังประเทศไทยได้รับรองคุณภาพประสิทธิภาพความปลอดภัยและได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยืนยันว่า วัคซีน covid ทุกชนิดสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ และป้องกันการติดเชื้อและเสียชีวิตได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนโอกาสผลข้างเคียงนั้นเกิดขึ้นได้น้อยมาก หากเปรียบเทียบกันแล้วกับโอกาสในการติดโควิด และรายการเสียชีวิตจากโควิดนั้นสูงกว่าการเสียชีวิตหลายเท่า การฉีดแต่ละครั้งจะต้องมีแพทย์เป็นผู้ประเมินความเหมาะสม คอยเฝ้าดูอาการหลังการฉีดตนและคณะรัฐมนตรี ไปรัฐบาลฝ่ายค้านต่างก็มีผู้ฉีดวัคซีน โควิด ไปแล้วแต่ยังไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

โดยล่าสุด มีการลงทะเบียนยืนยันนัดหมายการฉีดวัคซีน ผ่านระบบหมอพร้อมและช่องทางต่างๆ สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังมีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 1.6 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ 5 แสนคน และลำปาง 2 แสนคน ซึ่งถือมีความตื่นตัวในพื้นที่อย่างดีเยี่ยมตนขอชื่นชมจังหวัดลำปาง โดยขอให้ทุกจังหวัด ได้เร่งดำเนินการให้ผู้มาขอวัคซีนให้ได้มากที่สุดผ่านกลไกในพื้นที่ ตนในฐานะรัฐบาลก็จะพิจารณาจัดสรรวัคซีนลงไปในพื้นที่ให้

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube