อนุทินโยนศบค.ดูอปท.หาวัคซีนวิษณุแนะคุยมท.ก่อน
“อนุทิน” โยน ศบค. จัดการท้องถิ่นต้องการจัดหา วัคซีน ด้าน “วิษณุ” แนะ อปท. คุยมหาดไทยปลดล็อกก่อน เกรงใช้เงินผิดประเภท ขณะ มท.1ยันไม่ต้องแก้ระเบียบรอศบค.ชี้ขาด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำว่า งบประมาณในการจัดซื้อ วัคซีน มีอยู่แล้ว ซึ่งได้รับการแจ้งว่าให้ใช้งบในส่วนของเงินกู้ หากไม่เพียงพอยังมีงบกลางอยู่ จึงไม่ต้องกังวล พร้อมยืนยัน ว่า มีเบี้ยเลี้ยงเสี่ยงภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพราะทุกวันนี้ทุกคนเป็นผู้เสียสละ รัฐบาลต้องให้ความสำคัญอย่างแน่นอน และเป็นนโยบายชัดเจน จากนายกรัฐมนตรีด้วย
ส่วนกรณีที่ ท้องถิ่นต้องการจัดหาวัคซีนนั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่ ศบค. ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่ทำตามที่ได้รับมอบหมาย และที่ผ่านมาได้ทำตามนโยบาย ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง หากกระทรวงสาธารณสุขมอง ว่า มีข้อขัดข้องก็จะทักท้วงไปยัง ศบค. แต่การตัดสินใจอยู่ที่ ศบค. และหากท้องถิ่นต้องการที่จะจัดหาวัคซีน ก็คงมีระบบการจัดหา ส่วนจะกระทบกับแผนกระจายวัคซีนหรือไม่นั้น ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีความกังวล และมีความพร้อมในการกระจายวัคซีนอยู่แล้ว
ทั้งนี้ หากประชาชนเลือกฉีดวัคซีนทางเลือก จะทำให้วัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุข จัดหาคงเหลือหรือไม่ เรื่องนี้ได้ทำงานในส่วนที่รับผิดชอบและทำตามภารกิจ ยืนยัน วัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุข จัดหาจะไม่มีเหลือแน่นอน เพราะตอนนี้มีการฉีดอยู่ทุกวัน
“อนุทิน” ยันประชาชนได้ฉีดแอสตราซิเนกา ขออย่ากังวล ย้ำมีประสิทธิภาพ ขณะต่ำว่า 18 ปี ต้องรอไฟเซอร์ กำชับทุกหน่วยงานขอวัคซีนต้องแจงรายละเอียดให้ชัด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ทางเรือนจำได้ประสานขอรับวัคซีนมายังกระทรวงสาธารณสุขแล้ว เพราะในเรือนจำต้องเร่งฉีดให้กับผู้ที่ยังไม่ติด พร้อมย้ำว่า หน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการขอรับจัดสรรวัคซีนต้องทำแผน ที่ต้องระบุรายละเอียดการฉีดวัคซีนอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน ย้ำว่า ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนยี่ห้อแอสตราเซเนกา เพราะกระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่จัดการวัคซีนให้ประชาชน ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็ตามขออย่ากังวล เพราะทุกยี่ห้อมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ซึ่งวัคซีน จะมีการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริการประชาชน เพราะวัคซี นจะมีการฉีดให้ประชาชนอยู่ตลอด
สำหรับตัวเลขการติดเชื้อขณะนี้ ยังอยู่ในคลัสเตอร์ ไม่ใช่เป็นการติดเชื้อจากการท่องเที่ยวที่มีการกระจายตัว ซึ่งกรมควบคุมโรค ระบุว่า ยังสามารถควบคุมได้ ส่วนการควบคุมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ต้องไปถามผู้ว่า กทม. ที่ดูแลเรื่องนี้ โดยเชื่อว่า กทม. มีมาตรการดูแลอยู่แล้ว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข พร้อมให้การสนับสนุนหากได้รับการร้องขอความช่วยเหลือมา
ขณะการฉีดวัคซีนให้เด็ก ต่ำกว่า 18 นั้น ต้องเจรจาจัดซื้อวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ เพราะยี่ห้อดังกล่าว เพิ่งได้รับรองคุณสมบัติสามารถฉีดให้คนที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป รวมถึงรัฐบาลต้องศึกษาคุณสมบัติและจัดหาวัคซีนที่สามารถฉีดให้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดด้วย
“วิษณุ” แนะ อปท.คุยมหาดไทยปลดล็อกก่อนสั่งซื้อวัคซีน หากไปทำก่อนผิดกฏหมาย ใช้เงินผิดประเภท
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประสานเรื่องไปยังกระทรวงมหาดไทย ให้สามารถใช้เงินท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีน จาก ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ว่า มีอยู่หลายประเด็น คือ หากซื้อตรงจากผู้ผลิต ผู้ขายไม่สามารถขายได้ อีกทั้งจะไปซื้อจากตัวแทนจำหน่ายก็อาจจะทำได้
ซึ่งขณะนี้ได้ทราบว่าตัวแทนผู้จำหน่ายที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกราย มีพันธะกับผู้ซื้อแล้ว เช่น ซิโนฟาร์ม มีพันธะอยู่กับ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือ โมเดอร์นา ก็มีเอเยนต์แล้วเช่นกัน ซึ่งเอเยนต์เหล่านี้ไม่สามารถไปขายให้กับผู้อื่นได้ เพราะฉะนั้นเหลือเพียงทางเดียว คือ ไปซื้อเช่นเดียวกับ กรณีราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือใครก็ตาม ที่ทำแบบราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แต่ทั้งนี้จะมีปัญหาเรื่องการนำเงินออกมาใช้ อย่างกรณี ของ ปตท. สภาอุตสาหกรรม ซึ่งก็ถือเป็นเงินของเขา
แต่ในกรณีที่ อปท. ซึ่งเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน มีระเบียบของกระทรวงมหาดไทย อยู่ ฉะนั้นจะต้องไปปลดล็อกก่อน เพราะก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าจะมีการนำเงินไปซื้อวัคซีน ดังนั้นจะต้องไปติดต่อ กระทรวงมหาดไทยก่อน ไม่ทราบในรายละเอียด
ส่วนที่ขณะนี้มีหลายจังหวัดติดต่อไป ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อที่จะซื้อวัคซีนนั้น นายวิษณุ ระบุว่า ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ หากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ไปตรวจสอบก็จะผิด เพราะใช้เงินผิดประเภท ดังนั้นต้องทำให้ถูกประเภทเสียก่อน คือการให้กระทรวงมหาดไทยอนุญาต และออกเป็นกฎระเบียบก่อน
ส่วนวัคซีนที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มีอยู่ จะเพียงพอต่อการฉีดหรือไม่นั้น นายวิษณุ ระบุว่า ที่มีอยู่ 1 ล้านโดสก็จะหมดอยู่แล้ว
มท.1 ยันไม่ต้องมีการแก้ไขกฎระเบียบกรณีท้องถิ่น จะโยกงบประมาณซื้อวัคซีนโควิด-19 แต่ต้องผ่านการพิจารณา และให้ศบค.เป็นผู้ดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดการเหลื่อมล้ำและสับสน
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการนำเสนอข่าว ระบุชัดเจนกระทรวงมหาดไทย ไม่ต้องมีการแก้ไขกฎระเบียบ กรณีจะใช้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซื้อวัคซีน เพราะไม่มีกฎระเบียบที่ห้าม แต่เนื่องจากเมื่อเดือน ก.พ. 64 ที่ผ่านมา ผู้ตรวจการแผ่นดินมีคำวินิจฉัย ห้ามท้องถิ่นและเอกชนซื้อวัคซีนโควิด-19 เอง โดยระยะแรกต้องให้รัฐดำเนินการ
ดังนั้น ขณะนี้จะต้องพิจารณาว่าพ้นระยะแรกหรือยัง และถ้าปล่อยให้เอกชน และองค์กรปกครองท้องถิ่นซื้อวัคซีนได้ โดยไม่มีแผน จะทำให้เกิดความสับสน เพราะขณะนี้รัฐได้มีแผนกระจายการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ รวมทั้งทำให้เกิดการเหลื่อมล้ำได้ เนื่องจากท้องถิ่นแต่ละแห่ง มีการจัดเก็บรายได้ และงบประมาณไม่เหมือนกัน
โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เสนอว่า แนวทางที่ดีที่สุดคือต้อง ให้ ศบค. เป็นผู้พิจารณาว่าถึงเวลาหรือยัง ที่จะให้เอกชนและองค์กรปกครองท้องถิ่น ร่วมซื้อวัคซีนได้ อย่างไรก็ตาม วัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนในภาวะฉุกเฉินต้องซื้อโดยรัฐบาล ทั้งนี้ หาก ศบค. มีแนวทาง ให้เอกชนและองค์กรปกครองท้องถิ่น ร่วม จัดซื้อวัคซีน ศบค. จะต้องเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อให้
ด้าน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ย้ำว่า ในการฉีดวัคซีน covid-19 ต้องดำเนินการภายใต้มาตรฐานเดียวกัน และไม่ซ้ำซ้อน กับการดำเนินการของภาครัฐ ที่สำคัญ สิ่งที่ท้องถิ่น ต้องพิจารณา คือ ในการฉีดวัคซีน ต้องมีแพทย์และเจ้าหน้าที่ รวมทั้ง ต้องดูแลหลังฉีดวัคซีนเพื่อระวัง ผลกระทบและอาการที่ตามมา
“นพ.ยง” FB ระบุ วัคซีนคืออาวุธสำคัญต่อสู้กับโควิด-19 ไทยต้องเร่งนำเข้าให้เร็วที่สุด เพื่อยับยั้งและลดการแพร่ระบาด
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ในเพจเฟสบุ๊ก “นพ.ยง ภู่วรวรรณ” ระบุถึงความสำคัญและจำเป็น ที่ไทยต้องเร่งนำเข้าวัคซีน เพื่อใช้ต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักในประเทศอยู่ในขณะนี้ เพราะหากไม่เร่งควบคุมหรือหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อ จะทำให้ผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นและมีผู้เสียชีวิตต่อเดือนเป็นพันราย โดย นพ.ยง ระบุว่า
เมื่อข้าศึกประชิดหน้ากำแพง เรามีอาวุธอะไรก็คงต้องเอามาต่อสู้ให้หมด คงจะไม่รีรอสั่งซื้อปืนใหญ่ เมื่อการรบยืดเยื้อ รู้เขารู้เราและเรามีทางเลือก เราก็คงจะเลือกวิธีที่จะให้ได้ชัยชนะปัจจุบันเช่นเดียวกัน ภาวะการระบาดของโควิด-19 ใหญ่หลวง ถ้าให้ 1% กว่าๆ และเรามีผู้ป่วย 2-3 พันคนต่อวัน เราก็จะมีผู้เสียชีวิตประมาณวันละ 30 คนเดือนละพันคน
ถ้าเรามีผู้ป่วยขึ้นไปถึง 4,000 คนต่อวัน ก็อาจจะมีผู้เสียชีวิตถึงวันละ 50 คน เราคงรอเวลาไม่ได้อาวุธที่ดีที่สุดในการควบคุมการระบาดขณะนี้ คงหนีไม่พ้นให้ทุกคนมีภูมิต้านทานและลดความรุนแรงของโรคลงให้ได้ วัคซีนจึงเป็นทางออกหรือเป็นอาวุธที่สำคัญ วัคซีนที่มีอยู่ขณะนี้ เราไม่มีทางเลือก จึงต้องรีบเอามาใช้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เรามีอยู่
ในอนาคต ถึงแม้ว่าข้าศึกจะเปลี่ยนแปลง หรือไวรัสจะเปลี่ยนแปลง เราก็จะมีอาวุธที่ดีกว่าเช่นเดียวกัน ทั่วโลกกำลังพัฒนาวัคซีนสายพันธุ์ใหม่ ที่ให้ตรงกับไวรัสที่กำลังระบาด และถึงเวลานั้นเราก็สามารถใช้อาวุธดังกล่าวมาเสริม ได้เช่นเดียวกัน เกือบทุกบริษัทกำลังเร่งรีบพัฒนาให้ได้สิ่งที่ดีกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน
วัคซีนที่มีอยู่ขณะนี้ เราฉีดกระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทาน เพื่อป้องกันไปก่อน ในอนาคตเราจะต้องมีการเสริมสร้าง หรือวัคซีนที่ดีกว่าและมีจำนวนเพียงพอ เราก็สามารถที่จะให้เพิ่มเติมได้ ขณะนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอวัคซีนที่ยังมองไม่เห็น
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news