“พิธา” มอง ล็อกดาวน์ ประเทศเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องเตรียมพร้อม สำหรับกลุ่มบุคคลเปราะบางให้สามารถเข้าถึงปัจจัย 4 ได้
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกระแสข่าวที่รัฐบาลเตรียมประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ซึ่งตัวเลขหลายๆ อย่าง ฟ้องว่าระบบสาธารณสุขไทยไปต่อไม่ไหว จึงเป็นสิ่งที่บีบบังคับให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องเลือกในการที่จะรักษาหรือไม่รักษาใคร วันนี้เป็นตัวเลขที่บ่งบอกได้ว่าจำเป็นที่จะต้องล็อกดาวน์
สำหรับการหลีกเลี่ยงล็อกดาวน์ได้นั้น คือเริ่มตั้งแต่การบริหารจัดการวัคซีน ที่มีการพูดถึงการจัดการความเสี่ยงในการกระจายวัคซีน หรือแม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนวิธีในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยใช้วิธีการตรวจหาเชื้อโควิดแบบ RT- PCR คือการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อด้านหลังโพรงจมูก
จึงเสนอให้รัฐบาลใช้วิธีการคัดกรองเบื้องต้น แบบ Antigen และส่งต่อมาวินิจฉัยแบบ RT- PCR อีกครั้ง หากใช้วิธีนี้จะแยกผู้ป่วยได้เร็วที่สุดจะสามารถที่จะจัดการได้ ซึ่งเมื่อมาถึงจุดที่อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้ายังไม่เพิ่มเตียงไอซียู ได้ทันก็จะหมายถึงชีวิตคน
ส่วนจะล็อกดาวน์ หรือไม่ล็อกดาวน์ แต่คำถามอยู่ที่จะล็อกดาวน์อย่างไร ให้มีความหมายมากที่สุด ให้ไม่เสียของ และให้สั้นที่สุด มีการเตรียมพร้อมสำหรับกลุ่มบุคคลเปราะบางที่จะต้องล็อกดาวน์ ให้เขาสามารถเข้าถึงปัจจัย 4 ได้ และรวมถึงแผนในการเปิดเมือง ซึ่งบางทีรัฐบาลได้คิดถึงแผนปิดประเทศแต่ไม่ได้คิดถึงแผนเปิด โดยจะต้องมาคิดว่าเมื่อเปิดแล้วจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้การแพร่ระบาดลุกลามอีกครั้ง ซึ่งเป็นเสียงที่พรรคก้าวไกลอยู่ในช่วงให้ทีมงานระดมความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวอยู่ ซึ่งมาตรการดังกล่าวก็ไม่ทราบว่ารัฐบาลมีแนวทางในการรองรับหรือไม่
“พิธา” แนะรัฐบาลสื่อสารให้ชัดเจนลดความสับสน กรณีสหรัฐฯมอบวัคซีนไฟเซอร์ช่วยไทย
นายพิธา กล่าวถึงการจัดการวัคซีน โควิด-19 ของไฟเซอร์ ที่ได้รับบริจาคมาจากสหรัฐอเมริกา 1.5 ล้านโดส ว่า เรื่องนี้ยังยืนยันจำนวนอะไรไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์วิกฤต และมีความสับสน ผู้นำควรชัดเจนและพูดในสิ่งที่เชื่อได้เท่านั้น เพื่อจะลดความสับสน
ซึ่งการบริจาคของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ เป็นดำริของประธานาธิบดี โจ ไบเดน เพื่อบริจาคให้กับประเทศอื่นทั่วโลกอย่างเท่าเทียม 80 ล้านโดส ซึ่งเป็นการรายงานข่าวจากเอกสารข่าวของทำเนียบขาว ซึ่งเป็นสื่อเดียวที่ตนเชื่อถือ โดยการบริจาคนั้นจะแบ่งเป็นเฟส เฟสแรก 25 ล้านโดสทั่วโลก แบ่งเป็นอาเซียน 7 ล้านโดส ประเทศไทยคือหนึ่งในประเทศที่ได้ แต่จำนวน 1.5 ล้านโดสหรือไม่ตนไม่ยืนยัน และไม่เชื่อว่าใครจะยืนยันได้ จนกว่าจะมีเอกสารข่าวจากทำเนียบขาวยืนยันออกมา
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐบาล ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ จะต้องผลักดันเรื่องนี้ต่อ และสร้างความโปร่งใส สามารถที่จะทำให้คนที่อยู่หน้างาน ทำงานต่อได้ ซึ่งพรรคก้าวไกล ก็จะติดตามเรื่องนี้ต่อ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
