“ชัยวุฒิ” เผย กักตัวครบกำหนดแล้ว หลังร่วมเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ยืนยันผลตรวจเป็นลบ
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส เผยภายหลังครบกำหนดกักตัวเพื่อเฝ้าดูอาการ เนื่องจากนั่งใกล้ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 บนเที่ยวบินที่เดินทางไป จ.ภูเก็ต เมื่อ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อตรวจความพร้อมก่อนเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ว่า ระหว่างโดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าว ตนสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อได้รับแจ้งว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ก็ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อผลออกมาเป็นลบ ก่อนเข้ารับการกักตัวกระทั่งครบกำหนด ก็ได้ตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้ง ผลก็ออกมาเป็นลบอีกเช่นกัน
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า แสดงให้เห็นว่าการป้องกันตนเองตามมาตรการของทางสาธารณสุข มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิดได้ และการฉีดวัคซีนที่สามารถลดอาการเจ็บป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิตได้ ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ แม้จะมีมาตรการเข้มในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดก็ตาม เพื่อจำกัดการระบาดให้ลดลง ในที่สุดประชาชนจะได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติในเร็ววัน
ทั้งนี้นายชัยวุฒิ ระบุว่า รัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ให้ความสำคัญในด้านเศรษฐกิจควบคู่มาตรการด้านสุขภาพ ที่ได้นำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ไปเมื่อ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมีมาตรการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาเป็นอย่างดี สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งมีมาตรการดูแลเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ โดยหากพบมีนักท่องเที่ยวติดเชื้อ หน่วยงานสาธารณสุขก็มีระบบดูแลติดตาม สามารถจำกัดวงการแพร่ระบาดได้ ทั้งนี้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้สนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาใช้กับสนามบินและท่าเรืออัจฉริยะ มีระบบ Face Recognition และระบบติดตามตัวนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายัง จ.ภูเก็ตอีกด้วย ซึ่งหากเป็นไปตามเป้าหมาย ก็จะได้ขยายการรับนักท่องเที่ยวตามโมเดลนี้ไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news