นายกฯ เป็นประธานประชุมติดตามการบริหารดูแลผู้ติดเชื้อโควิดแบบ Home Isolation และ Community Isolation และการนำส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา ยันยาฟาวิพิราเวียร์มีเพียงพอ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมติดตามการบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบ Home Isolation และ Community Isolation และการนำส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนา โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่านระบบ Video Conference
ทั้งนี้ รายงานว่าที่ประชุม ยืนยันว่า ยาฟาวิพิราเวียร์มีเพียงพอ รวมไปถึงมีการรายงานต่อที่ประชุมถึงสถานการณ์เตียงผู้ป่วยสีแดงเข้มว่ามีความต้องการสูงถึง 5,000 แต่มี 1,500 และขณะนี้เต็มแล้วจึงเตรียมการขยาย
ขณะที่กระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า ขณะนี้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งในพื้นที่ 7 จังหวัดตอนใต้ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด โดยเบื้องต้นมองว่าการเดินทางโดยรถไฟซึ่งการเดินทางทางบกเป็นเส้นทางดีที่สุด และการขนย้ายผู้ป่วยกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมจะร่วมกันประสานขนส่งอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงจะใช้บริการ บขส. เสริม โดยจะมีการรองรับค่าใช้จ่ายให้
สำหรับการประชุมในวันนี้จะหารือถึงสถานะศูนย์แยกกักชุมชน หรือ Community Isolation การทำระบบ Home isolation รวมไปถึงการส่งตัวผู้ป่วยกลับไปรักษายังภูมิลำเนา หลังพบยอดผู้ติดเชื้อสูงกว่า 20,000 รายต่อวัน รวมไปถึงมีการพยากรณ์ของกระทรวงสาธารณสุขว่า หากยังคงล็อกดาวน์ในระดับนี้ต่อไปในช่วงเดือนกันยายน จะพบผู้ติดเชื้อสูงกว่า 45,000 คนต่อวัน แต่หากเข้มมาตรการที่เพิ่มขึ้นในการล็อกดาวน์ได้ถึงร้อยละ 25 นาน 2 เดือน รวมไปถึงเร่งฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเป้าหมาย ภายใน 1-2 เดือน จะแนวโน้มการติดเชื้อต่อวันสูงถึง 20,000 รายต่อวัน ขณะที่รายงาน ข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564 Community isolation ทั้งในส่วนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร มีทั้งหมด 55 แห่ง สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 6,987 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 3,394 เตียง และรองรับผู้ป่วยได้เพิ่มเติม จำนวน 3,593 เตียง
ส่วนรายงานสถานการณ์ภาพรวมการดูแลผู้ป่วยด้วยการแยกกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation ในพื้นที่ กทม. ของกรมการแพทย์ จำนวนผู้ป่วยสะสมที่เข้าระบบทั้งหมด 61,376 ราย อยู่ระหว่างรับการรักษา 45,987 ราย
และออกจากระบบการรักษาแล้ว 15,389 ราย
ด้านการกระทรวงมหาดไทย จะมีการรายงานข้อมูล Community Isolation ซึ่งมีทั้งหมด 4307 แห่ง รองรับผู้ป่วย 120,581 เตียง รองรับผู้ป่วยสีเหลืองจำนวน 868 เตียง ผู้ป่วยสีเขียว 37,584 เตียง ซึ่งสามารถรองรับผู้ป่วยได้เพิ่มเติมจำนวน 82,129 เตียง และ Home Isolation ในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ 57,688 ราย
นอกจากนี้ สถานประกอบการต่าง ๆ ได้มีการจัดให้มีสถานที่แยกกักตัวในสถานประกอบการหรือ Factory Isolation ทั้งหมด 1,683 แห่ง รองรับผู้ป่วย จำนวน 52,542 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 7,507 เตียง
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนาวัคซีน 2 ชนิด คือชนิด mRNA และชนิดจากใบยา subunit ซึ่งภายในปีหน้าน่าจะมีผลที่ชัดเจน ขณะนี้มีแนวโน้มที่ดี ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันสามารถจัดหาวัคซีนได้ตามเป้า 100 ล้านโดส ส่วนชุดตรวจ ATK ที่นำเข้าทั้งรัฐบาลและเอกชน และหลากหลายยี่ห้อ ต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานของ อย. โดยกระทรวงพาณิชย์จะได้รับไปดูแล ส่วนกรณีมีเอกชนนำเข้ามาจำหน่ายเอง ขอย้ำต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ จึงจะแก้ปัญหาได้
พร้อมยังย้ำว่า ที่ผ่านมาได้หารือกับต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างประเทศเป็นมิตรที่ดีพร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามในเรื่องของเฟคนิวส์ต้องแก้ปัญหาภายใน 24 ชม. โดยย้ำว่าทุกอย่างทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ตามระเบียบ กฎหมาย จึงไม่มีอะไรต้องกลัว และขอให้กำลังใจทุกคน ทุกระดับ เพราะรู้ว่าทุกคนทำงานหนัก
ขณะที่วัคซีนไฟเซอร์นั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ รายงาน ว่าการฉีดวัคซีนดังกล่าว เป็นไปตามแผน สำหรับการจัดซื้อวัคซีน 20 ล้านโดส ซึ่งจะต้องมีการจ่ายเงินมัดจำ จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 17 สิงหาคม 2564 นี้ และอีก 10 ล้านโดสจะดำเนินการนำเสนอ ครม. ต่อไป ซึ่งคาดการณ์ว่าวัคซีนล็อตแรกที่จะสามารถจัดส่งให้ไทยได้จะอยู่ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกันยายน โดยอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการตามสัญญา
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news