นายกฯ แจงซักฟอก ไร้โกงงบฯท้าแฉเงินทอน ยันอยู่ต่อยึดประชาธิปไตย แขวะคนผิดคดีหนี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ศักยภาพทางการเงินการคลังของประเทศไทยยังอยู่ในระดับ 3 b+ เช่นเดิม นี่คือสิ่งที่จะทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีความเชื่อมั่นในวิถีโลก และในเวทีสากลการจะกู้เงินหรือการใช้เงินต่างๆ เขาก็รับรองให้เราหมด และจะทำเท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 เพราะฉะนั้นฝากมองตรงนี้ไปด้วย ตนก็เห็นว่ามีคน 30-40 ล้านคน ได้ลงไป ตนก็ไม่เคยเห็นมาตรการว่าคนจะได้ 30-40 ล้านคน แล้วจะเลือกตนหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย ก็ดูแลเขานั่นแหละ และประชาชนที่คุณไปเยี่ยมเขาก็รับเงินตรงนี้ทั้งหมด เมื่อประชาชนเดือดร้อนจนก็มีมาตรการทางการเงินการคลังทุกครั้ง จะบอกว่า ตนไม่นึกถึงประชาชน ก็นึกถึงประชาชนทุกวัน บอกว่าตนไม่ทำงานทำงานแบบ work from home ช่วงนั้นที่ตนว่า work from home 14 วันเพราะคนรอบข้างติดโควิด-19 หมอสั่งให้ตนทำงานที่บ้าน อาทิตย์หนึ่งตนทำงานทุกวันที่ทำเนียบ แต่เป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference การทำงานวันนี้เป็นแบบนี้เพราะเป็นลมยุคใหม่แล้ว
ส่วนเรื่องเงินทอนขอให้ไปหามาว่าใครได้ ซึ่งยืนยันว่า จะรับการตรวจสอบทุกชนิด อย่าบอกว่า คสช.ไม่ได้รับการตรวจสอบ องค์กรเขาก็ต้องเรื่องมาตนก็สู้ไป ชี้แจงข้อเท็จจริงไป ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรที่หนักหนาสาหัส ชี้แจงได้ก็จบ อย่าบอกว่าตนใช้อำนาจรัฐประหาร ท่านเข้าใจอะไรไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่
พร้อมยังระบุว่า ที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรครวมใจไทย บอกบริจาคเงินมากกว่าตน เป็นเรื่องที่ดี ขอบคุณมาก ตนก็มีแต่เงินเดือนไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ได้มีลูกหลาน ทำธุรกิจที่พักรีสอร์ท มีเงินเดือนเท่านั้นที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ และไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์จากใครทั้งสิ้น อันนี้ตนยืนยันได้ ซึ่งตนได้สวดมนต์ทุกวัน เพราะฉะนั้นตนจะไม่ทำอะไรที่มันผิดขอให้เข้าใจกันด้วย
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ตนจำเป็นต้องพูดกับ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เนื่องจากเป็นรุ่นที่ตน พูดอยู่เสมอว่าเป็นรุ่นพี่เท่านั้นปีเท่านี้ปี น้องนุ่งก็เคารพอยู่ ก็ระวังแล้วกันวันข้างหน้า เขาจะไม่เคารพก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาคิดเป็นแล้วเด็กในวันนี้ จริงๆ แล้วยังไม่ถึงเวลาที่ผมพูด แต่ก็จำเป็นเพราะเป็นพี่ผม ก็ต้องพูดซะหน่อยตั้งใจจะไม่พูดแต่เผอิญท่านพูดมาก่อน ตำหนิน้องท่านมากไปสักนิด ตนก็ไม่โกรธไม่เคือง แต่ขอให้คำนึงถึงความจริง และฝากไปยังประชาชนที่รับชมจากที่บ้านหากได้ฟังตนอยู่ตอนนี้ ขอให้ดูหน้าผม พร้อมฟังผม ผมพูดจากหัวใจของผม สมองที่ท่านว่าน้อยของผม แต่อย่าลืมว่าผมมีประสบการณ์ถึง 6-7 ปี ตรงนี้คือความแตกต่างที่ผมน่าจะรู้มากกว่า ยืนยันรัฐบาลทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ความเป็นห่วงเป็นใยประชาชนและพิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นหลายอย่างที่พูดภายในเช้านี้ ทั้งราคาวัคซีน การบริหารกัน จะมีรองนายกฯ ชี้แจงได้หมดทุกข้อ ขอให้รอฟังถ้าไม่ใช่ให้ไปตรวจสอบ แต่ถ้าไปพูดข้างนอกอาจมีปัญหา ไม่ได้ขู่ เพราะเป็นการพูดในสภา ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เพราะประชาชนเข้าใจผิด
นายกฯ แจงซักฟอก ยัน ไม่เคยคิดใช้งบฯเพื่อปูพื้นฐานทางการเมือง ใช้จ่ายตามระเบียบ พร้อมย้ำทหารไม่ใช่เอามาใช้งานเพียงอย่างเดียว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลุกขึ้นชี้แจง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย หลังมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป ตั้งแต่วันนี้โดยไม่ต้องรอลงคะแนน ทั้งการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ การใช้บ้านหลวงการทำตัวไม่เหมาะสม ว่า จำเป็นต้องชี้แจงเพราะถือว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นรุ่นพี่ตนเอง ซึ่งหลายอย่างก็คิดไม่ตรงกัน อ่านประสบการณ์ต่างกันเพราะ เป็นแค่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี ประสบการณ์จึงต่างกันที่อ้างว่าไม่รู้เรื่องนู้นเรื่องนี้
โดยชี้แจงกรณีการใช้งบประมาณเพื่อปูพื้นฐานทางการเมืองนั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่เคยทำเช่นนี้และไม่คิดอย่างนี้เลย โดยที่ผ่านมาการทำงบประมาณ มี 3 รูปแบบ คือ งบประมาณแบบขาดดุล งบประมาณแบบสมดุล และงบประมาณแบบเกินดุล ซึ่งคนที่อยู่ในรัฐบาลมาก่อนคงทราบดี แม้กระทั่งระเบียบการใช้งบกลาง ปีนี้ก็มียอดสูงขึ้นจากงบประมาณในการแปลญัตติกว่า 1.6 หมื่นล้าน ที่มีการระบุชัดเจนว่านำมาใช้จ่ายในสถานการณ์โควิด-19 ไม่ได้เพิ่มเติมเป็นพิเศษ ซึ่งยืนยันว่าได้มีการใช้จ่ายตามระเบียบ การเบิกจ่ายงบประมาณที่ต้องมีการเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี ซึ่งตนเองไม่สามารถชี้นิ้วได้เป็นการผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองทุกประการและมีการตรวจสอบ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองไม่อยากมีปัญหาเหมือนกับรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการทุจริต ซึ่งมีตัวอย่างอยู่แล้วซึ่งแน่นอนว่าการทำงบประมาณแบบขาดดุล ต้องมีการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่า เพราะมีสถานการณ์โควิด-19 ด้วย ทั้งนี้ ในการใช้จ่ายขาดดุลก็เพื่อขับเคลื่อน ให้เกิดการใช้เงินภายในประเทศ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนให้มีรายได้เพียงพอในช่วงนี้ พร้อมต้องใช้จ่ายในการลงทุนต่างประเทศซึ่งไม่สามารถหยุดได้ และส่วนที่บอกว่าไม่มีผลงานอะไรเลยนั้น ขอให้กลับไปดูว่าในช่วงที่ผ่านมา มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในประเทศ หากมองในมุมกว้างก็จะเห็น ซึ่งถือว่าเป็นผลดีกับอนาคตทั้งสิ้น
ขณะที่ เรื่องงบประมาณกระทรวงกลาโหมได้มีการพูดหลายครั้งแล้ว จะต้องพิจารณาตามสัดส่วนของงบประมาณต่อวงเงินงบประมาณในแต่ละปี และที่บอกว่างบประมาณปี 62 สูงที่สุดนั้น เท่ากับร้อยละ 7.57 นั้นไม่เป็นความจริง โดยเทียบกับงบประมาณปี 46 อยู่ที่ร้อยละ 7.99 จึงขอให้ย้อนกับไปดูว่าเป็นรัฐบาลไหน และเมื่อเทียบเคียงกับต่างประเทศจะรู้ว่างบประมาณกระทรวงกลาโหม กับมูลค่าการผลิตมวลรวมๆของไทยในปี 63 อยู่ที่ร้อยละ 1.48 สิงคโปร์ อยู่ที่ร้อยละ 3.02 เกาหลีใต้ อยู่ที่ร้อยละ 2.75 ซึ่งยืนยันว่า จะต้องระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณให้มากที่สุด อะไรที่ปรับได้ก็จะปรับ ส่วนอะไรที่มีความจำเป็นก็จะต้องมีการหารือกัน
และที่ถามว่ามีทหารไว้ทำไม มีไว้ก็ไม่ได้รบ นั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ทหารไม่ใช่เอามาใช้งานเพียงอย่างเดียว แต่ได้เอาทหารมาช่วยงานในทุกๆ ภารกิจ ทั้งการป้องกันชายแดน ความมั่นคงภายใน และสนับสนุนกระทรวงต่างๆ ที่ขณะนี้มีทั้งสถานการณ์โควิด น้ำท่วม ฝนแล้ง ภัยพิบัติ ดูแลแรงงาน ต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศ และอยู่ 3 กองกำลังชายแดน ที่มีการหมุนเวียนทุกกองทัพภาคลงไปในพื้นที่ และหน้าที่การเป็นทหาร ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
นายกฯ แจงซักฟอก ย้ำหนี้ถูกส่งต่อมาหลายรัฐบาลไม่มีเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลนี้ พร้อมยืนยันไม่มีการสั่งให้ใช้อาวุธจริงควบคุมม็อบ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เรื่องสถานภาพทางสงครามถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งเคยพูดมาหลายครั้งว่าจำเป็นต้องมียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตที่มีความเสี่ยงอยู่ตลอด จึงต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยทั้ง จำเป็นรถยานเกราะ เสื้อเกราะ เพราะวันนี้มีอาวุธมันรุนแรงขึ้น ยืนยันว่ากองทัพได้มีการ จัดซื้อตามความจำเป็น และจัดหาเพียงแค่ 1 ใน 3 เพื่อทดแทนของเก่าที่หมดอายุ ส่วนที่มีการนำรถถังไปทิ้ง กลางทะเลนั้น เป็นรถถังที่มีอายุ 50-60 ปี เพราะซ่อมไม่ได้แล้ว จึงนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น นำไปใช้ทำปะการังเทียม ซึ่งก็ดีกว่าการไปจอดทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ใช่ซื้อมา 10 ปีแล้วทิ้ง หลักที่ใช้อยู่ในกองทัพ อายุมากสุดขณะนี้ก็ 30-40 ปี ซึ่งจะซ่อมไม่ไหว และที่สำคัญ ถามว่าแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีการรบเกิดขึ้น จากผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนอาจจะ เริ่มเกิดขึ้นเพียงเล็กๆน้อยๆแต่สิ่งต่างๆเหล่านี้จะต้องมีการประเมินไว้ซึ่งเป็นแผนเผชิญเหตุไว้ล่วงหน้า หากมาคิดทีหลังทหารก็ไม่ต้องมีอาวุธก็ไม่ต้องใช้ ไม่รู้จะไปรบกับใคร วันหน้าก็ขอความกรุณารับผิดชอบด้วยแล้วกัน ซึ่งวันนี้สถานการณ์ในภูมิภาค ไม่ว่าจะบริเวณทะเลจีนใต้ หรือประเทศรอบบ้านเรา ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ตอบภาษาในเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดคนลงมาให้ได้ซึ่งอยู่ในแผนการปฏิรูปกองทัพ
ขณะที่ หนี้นั้น ได้ส่งต่อมาหลายรัฐบาล ไม่มีเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลตน แต่เป็นหนี้ที่เกิดมูลค่า ส่วนที่บอกว่าตนนั้นไม่รู้กฎหมายตนไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด แต่ตนรู้ว่าตนจะใช้กฎหมายได้อย่างไร ให้คนที่ทำหน้าที่ตรงนี้มีอิสระเสรีในการตัดสินใจ ในการแต่งตั้งคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนก็ให้ ผบ.ตร. เป็นผู้พิจารณา ตนคิดว่าตนทำได้ดีกว่าสมัยก่อนมาก ขอให้ไปดู ส่วนที่มีข้อกล่าวอ้างว่าการออกมาตรการของตนออกมาเพื่อให้คนนั้นรัก หรือเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ คงไม่ใช่ตรงนั้นจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ อยู่ที่กระบวนการประชาธิปไตยในสภาฯ ก็ว่ากันไป ตนไม่สามารถหลอกใครได้ วันนี้ประชาชนเปิดหูเปิดตามากขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นในส่วนตรงนี้ ปัญหาเรื่องการทุจริตตนประกาศไปแล้ว หากมองตัวเลขการดำเนินคดีกับข้าราชการระดับสูง ระดับกลาง ระดับล่าง มีคดีจำนวนมาก ที่บอกว่ามีคดีมามันจะมากกว่านี้แต่ไม่ถูกดำเนินคดี แต่ขอให้ไปเปรียบเทียบดู สมัยก่อนที่ผ่านมามีหรือไม่ หรือสมัยก่อนที่ผ่านมามีแล้วหนีคดี วันนี้มีหรือไม่ขอให้คิดอย่างนี้ จะได้เป็นธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่ายก็ไปด้วยกันได้ทั้งหมด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ต้องใช้โอกาสนี้ ให้บ้านเมืองมีความสงบสุข มีเสถียรภาพมีมั่นความมั่นคง ไม่ใช่มีการสนับสนุนให้มีความวุ่นวาย หลายคนทราบดีทั้งหมด วันนี้มีการตรวจสอบอยู่ว่ามีใครทำให้บ้านเมืองเสียหาย ตนไม่ได้ขู่ใครทั้งสิ้นเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องดำเนินการไป ในส่วนรัฐบาลทำหน้าที่ในฝ่ายบริหาร ตำรวจก็อยู่ในฝ่ายบริหาร แต่อย่าลืมว่าอีก 2 อำนาจ คือ นิติบัญญัติในสภาแห่งนี้ และอำนาจตุลาการ ซึ่งเป็นเรื่องของอัยการและศาล ตนไปก้าวล่วงไม่ได้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลทำเต็มที่ ตำรวจทำเต็มที่ การที่บอกว่าจะใช้อำนาจกับประชาชนเยาวชนเด็กแล้วใช่ที่ควรจะไปหรือไม่ วันนี้กฎหมายมีอยู่ ทุกคนบอกว่าตนใช้อาวุธ ตนไม่เห็นตำรวจถืออาวุธจริงสักคน มองไม่ออกหรือว่าอันไหนอาวุธจริงหรือปลอม เป็นถึงอดีต ผบ.ตร. มีแต่ตำรวจถูกยิงอยู่ทุกวันอยู่นี่ แล้วทำไมถึงมองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงขัดแย้งกับความเป็นจริงขัดแย้งกันในภาพ เพราะฉะนั้นอย่าเลือกดูภาพในโซเชียลหรืออะไรก็แล้วแต่ สุดแล้วแต่ว่าฝ่ายใครจะเอาออกมา ตนยืนยันว่าไม่มีการสั่งการให้ใช้อาวุธจริง ขอให้คอยดูต่อไป ว่าใครจะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาด้วยแรงหนุนจากใคร นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยต้องระมัดระวังที่สุด
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news