ที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาร่าง พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ส.ส.-ส.ว.ส่วนใหญ่ อภิปรายสนับสนุน ชี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพของการศึกษาไทย
ที่ประชุมร่วมรัฐสภา พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ….ซึ่งคณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ โดยนางสาวตรีนุช เทียนทองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงสาระสำคัญของกฎหมายว่า เป็นการมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนานักเรียนทุกช่วงวัย ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและพร้อมรับกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง ทางสังคม สามารถนำองค์ควรรู้ในชั้นเรียนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งปรับวิธีการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ห้ามใช้วิธีการทดสอบที่เน้นเชิงวิชาการอย่างเดียว แต่ต้องมีวิธีการทดสอบแบบอื่นที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนด้วย ปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบเชิงรุก เน้นให้นักเรียนเกิดการตั้งคำถามและหาคำตอบได้ ด้วยตนเอง และปรับวิธีการบริหารงานสถานศึกษา กระจายอำนาจตัดสินใจให้โรงเรียน ลดภาระงานอื่นงานของครู ให้ครูมีหน้าที่สอนเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน สมาชิกรัฐสภาให้ความสนใจอภิปรายเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อเพิ่มศักยภาพของการศึกษาไทย และพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กให้เกิดประสิทธิภาพ
โดยนายสงวน พงษ์มณี สมาชิกรัฐสภา เสนอให้มีการแก้ไขในมาตรา 20 ด้วยการกำหนดให้สถานศึกษาเป็นนิติบุคคล เพราะสามารถระบุได้ว่าต้องการให้สถานศึกษาควรดำเนินการด้านใดบ้าง สิ่งใดไม่ควรกระทำ หากไม่ได้ระบุให้เป็นนิติบุคคลจะไม่สามารถทำงานได้ รวมถึง การจัดการโครงสร้างที่ยังไม่ชัดเจน เนื่องจาก ในกฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นเพียงระเบียบเท่านั้น เกรงว่าจะขัดกับกฎหมายหลัก หากระบุให้เป็นระเบียบจะต้องไปแก้ในกฎหมายการบริหารราชการแผ่น อาจทำให้เกิดความยุ่งยากในการทำงาน ซึ่งการบัญญัติให้เป็นพระราชบัญญัติ จะเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ดำเนินการและจะเกิดการถ่วงดุลอำนาจในหลายๆด้าน อยากเห็นเอกภาพของการบริหารการศึกษา
ด้านนายตวง อันทะไชย สมาชิกรัฐสภา เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะการกระจายอำนาจไปยังโรงเรียนให้มีความเป็นอิสระมากขึ้น ทั้งการออกแบบวิชาการ การบริหารงานบุคคล การบริหารงานทั่วไป และบริหารงบประมาณ ทำให้มีโรงเรียนสามารถร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆในการขับเคลื่อนการศึกษาได้ ซึ่งจะสอดคล้องกับการจัดการศึกษาในยุค new normal ที่เน้นให้ผู้เรียนมีทักษะวิชาการและวิชาชีพควบคู่กันสามารถรับมือกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้
สอดคล้องกับนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย เห็นว่า กฎหมายฉบับนี้มีหน้าที่โดยตรงในการจัดการเรียนการศึกษาแต่มั่นใจได้อย่างไรว่าเขียนกฎหมายมาเช่นนี้จะปฏิรูปการศึกษาได้ ที่สำคัญควรมุ่งเน้นที่ตัวบุคคล พัฒนาตามทักษะตามความถนัด รวมถึงวิชาชีพชั้นสูงต้องตอบโจทย์โดยตรง ไม่ควรเขียนเป็นเพียงถ้อยคำและวาทกรรม ดังนั้น ควรระบุในรายละเอียดให้ชัดเจน ส่วนโครงสร้างของกฎหมายมีรายละเอียดมากเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะเป็นกฎหมายแม่บท ควรปรับให้เห็นความสำคัญของการปฏิรูปการศึกษา พร้อมเสนอให้นำกฎหมายฉบับเดิมมาปรับปรุงในสิ่งที่เป็นประโยชน์ รวมทั้ง การกระจายอำนาจสู่สถานศึกษาต้องเป็นรูปธรรมและปฏิบัติได้จริง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news