รัฐบาลมุ่งกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ออกหลักเกณฑ์โอนภารกิจอนามัย – รพ.สต. ส่งเสริมประชาชนมีส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพขั้นปฐมภูมิให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 64 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่องหลักเกณฑ์และขั้นตอนการถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) ให้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นให้เกิดการกระจายอำนาจของหน่วยต่างๆ สู่ท้องถิ่น เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน และให้สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ และรพ.สต. สามารถตอบสนองความต้องการทางด้านสุขภาพของประชาชนในท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้กำหนดแนวทางการถ่ายโอนภารกิจด้านสาธารณสุขให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการกระจายอำนาจและถ่ายโอนภารกิจที่ล่าช้าอันเนื่องมาจากความไม่ชัดเจนของหลักเกณฑ์ ซึ่งข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ตั้งแต่ปี 2551-63 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ และ รพ.สต. รวมแล้วเพียง 65 แห่ง จากจำนวนทั้งสิ้น 9,787 แห่งทั่วประเทศ
สำหรับสาระสำคัญของหลักเกณฑ์และขั้นตอนการถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ และ รพ.สต. ได้กำหนดแนวปฏิบัติ ตั้งแต่การดำเนินการก่อนการถ่ายโอน การเตรียมความพร้อมด้านการบริหารภารกิจ งบประมาณ บุคลากร กลไกและกระบวนการถ่ายโอนภารกิจ โดยมีคณะอนุกรรมการบริหารภารกิจถ่ายโอนด้านสาธารณสุขให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่ (กสพ.) กำกับดูแล มีการกำหนดตัวชี้วัดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการประเมินความพร้อมที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดทิศทางการให้บริการของหน่วยภายใต้องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น สร้างหลักประกันความต่อเนื่องของบริการ รวมถึงพัฒนาคุณภาพของการบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง
รบ.เตือนบริโภคพืชกระท่อมด้วยความระมัดระวัง อย.กำลังออกประกาศ ข้อกำหนดให้นำไปเป็นส่วนประกอบอาหารได้
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีพืชกระท่อม จากที่มีการแก้ไขพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) และกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 มีผลให้ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 64 เป็นต้นมา การครอบครองและการขายใบสดพืชกระท่อมโดยไม่ได้ปรุงหรือทำเป็นอาหารสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ทำให้ปรากฏว่าขณะนี้มีการวางขายพืชกระท่อมอย่างแพร่หลายและมีประชาชนซื้อใบสดพืชกระท่อมไปรับประทานอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ได้มีข้อห่วงใยเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและขอให้ประชาชนระมัดระวังในการบริโภคด้วย เพราะแม้กระท่อมเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์และสรรพคุณที่หลากหลาย แต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้บริโภค โดยเฉพาะกรณีว่าร่างกายของคนเราไม่สามารถย่อยก้านและใบกระท่อมได้ การบริโภคก้านใบกระท่อมในปริมาณมากอาจทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้ที่เรียกว่า “ภาวะถุงท่อม” ขอให้บริโภคด้วยความระมัดระวังและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากมีภาวะผิดปกติ ต้องรีบไปพบแพทย์
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนกรณีที่จะนำไปปรุงเป็นน้ำต้มกระท่อม ชากระท่อม ขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้อย่างเสรี ยังจัดเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ต้องขออนุญาตจาก อย. ตาม พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ขณะที่การนำมาปรุงประกอบอาหารก็ยังไม่สามารถทำได้เสรีเช่นกัน แต่ในส่วนนี้ อย. อยู่ระหว่างจัดทำประกาศกระทรวงสาธารณสุข ออกตามความในพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 424) พ.ศ. 2564เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย (ลำดับที่ 52 กระท่อม) เพื่อให้การใช้ส่วนของพืชกระท่อมและสารสกัด สามารถเป็นส่วนประกอบในอาหารได้ซึ่งเมื่อมีผลบังคับใช้แล้วจะได้ประกาศให้ประชาชนทราบต่อไป
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค อย. ยังได้กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของกระท่อมต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยของอาหารและส่งมอบฉลากให้ อย.ตรวจอนุมัติก่อนนำไปใช้ ตามเงื่อนไขของประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 376) พ.ศ. 2559 เรื่อง อาหารใหม่ (Novel food) ด้วย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news