มติรัฐสภา คว่ำร่าง รธน. Re-Solution ยุบวุฒิสภา 473 : 206 เสียง
ที่ประชุมร่วมรัฐสภา มีมติไม่รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับภาคประชาชน จากกลุ่ม Re-Solution ด้วยมติ 473 เสียง (สภาผู้แทนราษฎร 249 เสียง + วุฒิสภา 224 เสียง) ต่อมติเห็นชอบ 206 เสียง (สภาผู้แทนราษฎร 203 เสียง + วุฒิสภา 3 เสียง) งดออกเสียง 3 เสียง โดยคะแนนที่รับหลักการ น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา จึงทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นอันตกไป ซึ่ง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และสมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ ไม่รับหลักการต่อการแก้ไขครั้งนี้ มีเพียง ส.ส.ฝ่ายค้าน ที่ลงมติรับหลักการให้กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้
โดยการลงมติครั้งนี้ เกิดขึ้นภายหลังกลุ่ม Re-Solution ได้นำเสนอหลักการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้มีการเสนอให้แก้ไขระบบเลือกตั้ง จากที่รัฐสภา ได้แก้ไขจากระบบบัตรใบเดียว ไปเป็นระบบบัตร 2 ใบ แต่ภาคประชาชนฯ ได้เสนอให้กลับมาใช้บัตรใบเดียว ตามระบบจัดสรรปันส่วนผสมเช่นเดิม รวมถึงการยกเลิกยุทธศาสตร์ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ พร้อมตั้งผู้ตรวจการกองทัพ ผู้ตรวจการศาล และผู้ตรวจการองค์กรอิสระขึ้นมา โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าไปตรวจสอบถ่วงดุลการใช้งบประมาณ การดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว และเพื่อให้ข้อเสนอต่อกองทัพ ศาล และองค์กรอิสระในการดำเนินการพร้อมเซตซีโร่ประธาน และกรรมการองค์กรอิสระทุกองค์กรเพื่อกระบวนการสรรหาใหม่
สาระสำคัญในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญภาคประชาชนครั้งนี้ ยังมีการเสนอยกเลิกวุฒิสภา เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศไทยไปใช้ “ระบบสภาเดี่ยว” เหลือเพียง “สภาผู้แทนราษฎร” แบบสภาเดี่ยวตามรูปแบบในหลายประเทศ เนื่องจาก เห็นว่า ที่ผ่านมาแม้ วุฒิสภาจะมีหน้าที่หลักในการกลั่นกรองกฎหมาย ต่อจากสภาผู้แทนราษฎร แต่ส่วนใหญ่แล้ว วุฒิสภาก็มักจะเห็นชอบ ตามที่ สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณามา จึงไม่เห็นว่า วุฒิสภา จะทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย หรือถ่วงดุลระบบนิติบัญญัติแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ภายหลังรัฐสภา ไม่รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว ส่งผลให้ในสมัยการประชุมนี้ (สมัยการประชุมที่ 2 ประจำปี 2564) จะทำให้รัฐสภา ไม่สามารถพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในลักษณะที่มีหลักการเหมือนกับกลุ่ม Re-Solution ได้อีก จนกว่าจะเริ่มสมัยการประชุมถัดไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news