กลุ่มปกป้องสถาบันฯ กดดันรัฐบาลไล่แอมเนสตี้ พ้นประเทศ ฐานจาบจ้วง ล้มล้าง ขณะที่ ตร. เปิดทางโล่งหน้าทำเนียบชุมนุมสะดวก ต่างจากอีกฝ่ายจัดกิจจกรรม
นายนพดล พรหมภาสิต ตัวแทนกลุ่มพสกนิกรปกป้องสถาบัน และนายอานนท์ กลิ่นแก้ว ตัวแทนกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส. พร้อมด้วยผู้ชุมนุมประมาณ50 คน ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล โดยขอให้รัฐบาลตรวจสอบและจัดการตามกฎหมายกับองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ว่ามี พฤติกรรมเข้าข่ายการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ และขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินรวมทั้งให้ขับองค์กรดังกล่าวออกนอกประเทศ
โดยนายนพดล กล่าวว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า การกระทำของนายอานนท์ นำภา, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์, น.ส.ปนัสยาสิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง
แต่ปรากฏว่า แอมแนสตี้ฯได้ออกมาประกาศแคมเปญเขียนจดหมายล้านฉบับ ถึงทั่วโลก จี้ทางการไทยให้หยุดดำเนินคดีกับ น.ส.ปนัสยา ซึ่งถือได้ว่าองค์กรนี้เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ และจงใจที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศไทย เนื่องจากคำตัดสินหรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นผูกพันทุกองค์กร อีกทั้งการกระทำของแอมเนสตี้ฯอาจถือได้ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและให้การสนับสนุนต่อคนหรือกลุ่มบุคคลให้กระทำการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายนพดล กล่าวอีกว่า จากเหตุผลข้างต้นน่าจะเพียงพอแล้วที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้โดยเร่งด่วน ด้วยการให้องค์กรนี้พ้นออกไปจากประเทศไทยหากมีข้อมูลและหลักฐานที่เชื่อได้ว่าองค์กรนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะแทรกแซงกิจการภายในของไทย และก่อนที่สถาบันพระมหากษัตริย์จะถูกล่วงละเมิดไปมากกว่านี้
ด้านนายเสกสกล นอกจากมารับหนังสือดังกล่าวแล้วยังร่วมปราศรัยด้วยท่าทีดุดัน ว่า ตนมี 2 แนวทาง คือ
1. เราจะกดดันด้วยกฎหมาย เพื่อจัดการกับแอมเนสตี้ฯ ที่ไม่รักษากฎหมายของไทยจึงต้องเอาเข้าคุก หรือเอาออกนอกประเทศ หรือไม่ก็ยุบองค์กรดังกล่าวให้ได้
2. กดดันด้วยพลังประชาชนที่จงรักภักดีกับสถาบัน ให้หยุดการกระทำซึ่งตนขอสัญญากับมวลชน ว่า ตนไม่ยึดติดตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี คนอย่าง แรมโบ้ อีสาน มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ใครที่คิดมาทำลายแผ่นดิน ชาติ ศาสนา และคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ตนพร้อมพลีชีพกับประชาชน ถ้าตนไล่แอมเนสตี้ฯ ออกนอกประเทศไม่ได้ จะลาออกจากตำแหน่งแต่ไม่ออกจากประเทศ เพื่อมาขับเคลื่อนร่วมกับประชาชนและไล่แอมเนสตี้ออกไป
นายเสกสกล ให้คำมั่นและว่า จะสู้ร่วมกับพี่น้องประชาชนที่ปกป้องสถาบันจนกว่าพวกมันจะพ้นจากประเทศไทย
อย่างไรก็ตามระหว่างการยื่นหนังสือผู้ชุมนุมได้มีการแสดงพลัง พร้อมกับตะโกนขับไล่แอมเนสตี้ออกจากประเทศไทย และยังปราศรัยโจมตีการเคลื่อนไหวของแอมเนสตี้ และ มวลชนกลุ่มราษฎรที่ออกมาเคลื่อนไหวให้ปฏิรูปสถาบันในสถานที่ต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่าการชุมนุมของกลุ่มพสกนิกรปกป้องสถาบัน ครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ชุมนุมเข้ามาทำกิจกรรมดังกล่าวในบริเวณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบฝั่งตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล แตกต่างจากเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดถนนโดยรอบทำเนียบบริเวณถนนพิษณุโลก
ปิดตั้งแต่แยกสวนมิสกวันถึงแยกนางเลิ้งและถนนพระราม 5 ตั้งแต่วัดเบญจมบพิตร ถึงแยกพาณิชยการ เพื่อป้องกันไม่ให้ กลุ่มสหภาพคนทำงานบันเทิง เข้ามายื่นหนังสือให้พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อขอเปิดสถานบันเทิงในวันที่ 1 ธ.ค.นี้จึงส่งผลให้การจราจรโดยรอบทำเนียบรัฐบาลติดขัด
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news