สธ เผย โควิด-19 โอไมครอน ยังไม่พบในไทย – สั่งห้าม 8 ประเทศ ทวีปแอฟริกา เดินทางเข้าไทย เสี่ยงแพร่โอไมครอน
วันนี้ (27 พ.ย. 64) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงมาตรการเฝ้าระวังเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ ผ่าน Facebook Live กระทรวงสาธารณสุข ว่าสำหรับโควิด-19 สายพันธุ์ Omicron องค์การอนามัยโลกจัดอันดับ B.1.1.529 เป็น Variant of Concerns (VOCs) โดยมีการตรวจพบครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 64 ประเทศ Botswana ซึ่งตรวจพบอีก 74 ราย ในประเทศแอฟริกาใต้ และ 2 ราย เป็นผู้เดินทางเข้าฮ่องกง อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศไทย โดย WHO ระบุให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลและต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่ง ซึ่งมีอำนาจในการแพร่เชื้อจำนวนมาก สามารถหลบภูมิคุ้มกันมากขึ้น และติดเชื้อได้เร็วขึ้น
ด้านมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักรสำหรับประเทศในทวีปแอฟริกา ประเทศที่มีการพบสายพันธุ์ Omicron และประเทศที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ดังกล่าว 8 ประเทศ ได้แก่ ประเทศ Botswana, Eswatina, Lesotho, Malawi, Mozambique, Namibia, South Africa, Zimbabwe จะไม่อนุญาตให้เข้าราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 64 และไม่อนุญาตให้ลงทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 64 ส่วนผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้ว จะดำเนินการสั่งกักตัว เป็นเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 64
ส่วนประเทศในทวีปอเมริกานอกเหนือจาก 8 ประเทศ จะมีการกำหนดตามรูปแบบการเข้าราชอาณาจักร โดยไม่อนุญาตให้เข้าในรูปแบบ Test and Go และไม่อนุญาตให้เข้าในรูปแบบ Sand Box แต่สามารถเข้าราชอาณาจักรได้โดยการกักตัวในสถานกักกันที่ทางราชการกำหนดเท่านั้น และไม่อนุญาตให้ทำกิจกรรมนอกห้องพักเป็นเวลา 14 วัน ซึ่งจะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 3 ครั้ง วันที่ 0-1, 5-6 และ 12-13 ทั้งนี้ จะไม่อนุญาตให้ลงทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 64 สำหรับผู้ที่ได้รับอนุญาตทุกประเภท ให้ดำเนินการตามที่ได้รับอนุญาต จนถึง 15 ธ.ค. 64 หลังจากนั้นจะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องดำเนินมาตรการป้องกันเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยการปฏิบัติตามมาตรการ UP, Covid free setting เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังสถานการณ์การกลายพันธุ์ของไวรัสอย่างต่อเนื่องด้วย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news