นายกฯเร่งผลักดันสร้างเครือข่ายระบบสาธารณสุขกับทั่วโลก เพื่อป้องกันโรคระบาด และผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงระบบสาธารณสุขไทยกับประเทศต่างๆ และองค์การอนามัยโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันโรคอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต รวมถึงวางเป้าหมายและผลักดันไทยเป็น BioHub ของอาเซียน ตลอดจน ร่วมแบ่งปันความรู้ และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์กับนานาประเทศ
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มีความประสงค์ที่จะต่อยอดความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขจากบทบาทไทยในการเข้าร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลกสมัยพิเศษ เพื่อเดินหน้าผลักดันข้อตกลงระหว่างประเทศ ว่าด้วยการควบคุมโรคระบาด ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตลอดจน นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวสนับสนุนไทยในการเข้าเป็นสมาชิก WHO BioHub system ซึ่งเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงความรู้ข้อมูล เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญ ในการประเมินสถานการณ์อย่างทันท่วงทีต่อการจัดการโรคระบาด รวมถึงโรคโควิด-19
นอกจากนี้ ความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และกลไก WHO BioHub System ยังเป็นแนวทางของรัฐบาลที่มีเป้าหมายบูรณาการเครือข่ายในการพัฒนาเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ยา วัคซีน รวมถึงแลกเปลี่ยนมาตรการทางด้านสาธารณสุขร่วมกัน อย่างทั่วถึงและครอบคลุม เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีของทั้งชาวไทยและแบ่งปันความร่วมมือกับทั่วโลกในฐานะที่ไทยมีบทบาทสำคัญด้านสาธารณสุขระดับภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีวางวิสัยทัศน์การดำเนินแนวทางที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) โดยตั้งเป้าให้เป็นประเทศที่สามารถคิดค้น ทดลอง วิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนในประเทศได้อย่างครอบคลุม ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ซึ่งจะทำให้ภูมิภาค มั่นคงและปลอดภัยในการป้องกันโรค
นายธนกร วังบุญคงชนะยังกล่าวอีกว่านายกรัฐมนตรีพอใจกระแสการใช้จ่ายของประชาชน ที่รัฐบาลมีการเพิ่มวงเงินสนับสนุนในการช่วยลดภาระในการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของประชาชนช่วยกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้ง 4 โครงการ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ รวมทั้งเพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยความคืบหน้า (ข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2564) มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสม รวม 41.32 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 211,041.2 ล้านบาทแบ่งเป็น
1) โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 26.22 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 184,823.7 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 93,934 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 90,889.7 ล้านบาท
2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 92,087 คน ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 3,718 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 194.9 ล้านบาท
3)โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.55 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 20,518.4 ล้านบาท และ 4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.46 ล้านคนยอดใช้จ่ายสะสม 1,786.2 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม
ล่าสุด มีจำนวนกว่า 78,000 ราย ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ยังสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ ผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอป พลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 1 ล้านสิทธิ
ส่วนกรณีที่มีคลิปคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในพิธีส่งมอบสิทธิโครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย โครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ และมีผู้นำไปผู้วิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดความเสียหายว่า คลิปดังกล่าวนั้นเป็นการตัดเพียงบางช่วงบางตอนของคำกล่าวทั้งหมดที่มีความยาว 12 นาที ของนายกรัฐมนตรี
ซึ่งแท้จริงแล้วนายกรัฐมนตรีต้องการยกตัวอย่างให้เห็นถึงความเท่าเทียมที่มีนัยถึง “การเข้าถึงโอกาสอย่างเสมอภาค (Equity)” ซึ่งเป็นเป้าหมายของรัฐบาลนี้ ความเสมอภาคคือการที่ทุกคนไม่ว่าจะมีฐานะอย่างไรต้องมีโอกาสเท่ากันที่จะเข้าถึงบริการของภาครัฐและสาธารณูปโภคพื้นฐาน นายกรัฐมนตรีไม่ได้หมายความว่า คนที่มีรายได้น้อยกว่าจะขึ้นทางด่วนไม่ได้ แต่ต้องการสื่อสารว่าทุกคนมีทางเลือกในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นทางด่วนหรือทางปกติ
อย่างไรก็ตามหากทุกคนขึ้นทางด่วนทั้งหมดอาจจะทำให้การจราจรข้างบนแออัดและเกิดความไม่สะดวก ดังนั้นจึงอาจเลือกใช้เส้นทางปกติได้ ขณะเดียวกันหากผู้ที่มีกำลังทรัพย์มากกว่าเห็นว่าเส้นทางปกติสะดวกกว่าก็สามารถเลือกเดินทางได้เช่นกัน
นายธนกร กล่าวว่า คลิปที่มีการเผยแพร่ในสื่อออนไลน์นี้มีข้อสังเกตว่าเกิดจากผู้ที่ไม่หวังดีเลือกตัดมาและเขียนข้อความวิพากษ์วิจารณ์ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ติดตามข่าวหรือคำกล่าวทั้งหมดเกิดความเข้าใจผิดไปด้วย โดยขอยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้มีเจตนาที่จะสื่อสารแบบที่มีการนำเสนอกัน และพร้อมรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายเสมอ พร้อมย้ำว่าอยากให้สังคมใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวหรือข้อมูลในโลกออนไลน์เพราะหากตีความหรือตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบถึงรายละเอียดทั้งหมด อาจเกิดความสับสนและไม่เป็นผลดีเลยขอให้เข้าใจความมุ่งมั่นและตั้งใจของนายกฯในการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news