กนอ.ร่วมภาคเอกชน เดินหน้าตามนโยบาย “นายกฯ” ยกระดับ “นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี” ให้เป็น Hub Logistic แห่งภูมิภาค ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางรับ-ส่งสินค้า สู่อาเซียนและจีน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เร่งยกระดับนิคมอุตสาหกรรม อุดรธานี ให้เป็นฮับโลจิสติกส์ (Hub Logistic) ของภูมิภาค โดยเป็นศูนย์กลางในการรับ กระจายสินค้าในภาคอีสานไปสู่อาเซียนและประเทศจีน ตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในคราวเดินทางตรวจราชการ ณ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ด้วยการขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรม อุดรธานีให้มีความทันสมัยด้วยการใช้เทคโนโลยี และดึงดูดนักลงทุน นักธุรกิจ จากต่างประเทศ ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ส่งเสริมการสร้างนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบสนองต่อนโยบายเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายให้นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานีเป็นนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายส่งเสริมให้แต่ละภูมิภาคมีนิคมอุตสาหกรรมเป็นของตนเอง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรับและขนส่งสินค้า โดยนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี จะกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางราง และโลจิสติกส์ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ช่วยอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนการขนส่งให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานีและลูกค้าทั่วไป ที่ต้องการขนส่งสินค้าไปยัง
ประเทศในกลุ่ม CLMV และจีนตอนใต้ รวมถึงการขนส่งสินค้าทางรางไปยังท่าเรือแหลมฉบัง และพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) คาดว่า ภายในปี 2568 อุดรธานีจะมีเครือข่ายการคมนาคมขนส่งที่ทรงประสิทธิภาพ ทั้งรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย-เวียงจันทน์-คุนหมิง และรถไฟทางคู่ซึ่งจะช่วยยกระดับการให้บริการขนส่งสินค้าทางรางของประเทศ ช่วยเพิ่มความแน่นอนและลดเวลาการขนส่งได้ถึงร้อยละ 30 แต่ต้นทุนถูกกว่า 2 เท่า รวมทั้งยังสามารถเชื่อมต่อไปยังท่าเรือกรุงเทพฯ และท่าเรือแหลมฉบังอีกด้วย
นายกฯสั่งคุมเข้มช่องทางข้ามแดนทั้งทางน้ำและทางบก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย จากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับไปยังหน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองในพื้นที่จังหวัดตามแนวชายแดน เร่งสกัดการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่เข้ามาทุกช่องทางทั้งทางบกและทางน้ำ เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานเถื่อน อาชญากรรม รวมทั้งลดความเสี่ยงในการนำเข้าเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ไม่มีการคัดกรอง ทำให้มีการจับกุมได้จำนวนมาก ทั้งนี้ ล่าสุดวานนี้ (10 ธ.ค. 64) จุดตรวจศิลาสลัก จุดตรวจทุ่งตาพล จุดตรวจในวง สามารถจับกุมชาวเมียนมาเป็นชาย 16 คน หญิง 4 คน รวม 20 คน จากการสอบถามชาวเมียนมาทั้งหมดเดินทางมาจากประเทศเมียนมาโดยรถทัวร์โดยสารเพื่อมุ่งหน้าไปยัง จ.สุราษฎร์ธานี โดยเสียค่านายหน้าเป็นเงิน 25,000 บาทต่อคน ซึ่งในขณะนี้ได้ทำการควบคุมตัว และส่งไปยัง สภ.ละอุ่น เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำให้มีการสืบสวนทั้งกระบวนการโดยเฉพาะหากมีข้าราชการส่วนใดเข้าไปเกี่ยวข้องต้องได้รับโทษตามกฎหมายสูงสุด
สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ มีจำนวน 4,079 ราย แยกเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 4,060 ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 19 ผู้ป่วยสะสม 2,135,996 ราย (ตั้งแต่ 1 เม.ย.) หายป่วยกลับบ้าน 7,302 ราย หายป่วยสะสม 2,062,827 ราย (ตั้งแต่ 1เม.ย.) ผู้ป่วยกำลังรักษา 53,455 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 39 ราย
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ นายจ้าง ให้เข้มงวดในการจ้างงานแรงงานที่ถูกกฎหมาย ตามมาตรการเข้าประเทศของแรงงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 อย่างเคร่งครัด ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีการนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านตาม MOU โดยแรงงานที่เข้ามาได้รับการคัดกรองโควิด-19 และมีสถานที่ทำงานที่ชัดเจน ซึ่งทั้งบุคคล สถานที่ประกอบการ และกิจการ ก็ปลอดภัยจากความเสี่ยงไวรัสโควิด-19 เพราะแม้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยจะคลี่คลาย จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้นกว่า 98 ล้านโดส แต่นายกรัฐมนตรียังย้ำเสมอว่า ไทยจะต้องไม่ประมาท และต้องปิดทุกช่องเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ทุกสายพันธุ์
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news