“ศุภชัย”FBต่อยอดดีกว่าทำลาย#30บาทรักษาทุกที่
“ศุภชัย”FB ยัน”อนุทิน” เดินหน้าพัฒนางานด้านบริการสุขภาพ เพื่อให้ประชาชน มีสุขภาพดี อย่างทั่วถึง ย้ำ ต่อยอดดีกว่าทำลาย
นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวโดยมีข้อความระบุว่า “ให้ต่อยอด ดีกว่าถูกทำลาย”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าพัฒนางานด้านบริการสุขภาพ เพื่อให้ประชาชน มีสุขภาพดี อย่างทั่วถึง เท่าเทียม 30 บาท รักษาทุกที่เป็นนโยบายที่ขับเคลื่อนอย่างหนักตลอดปีที่ผ่านมา นี่คือนโยบาย ที่พัฒนาขึ้นมาจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคของรัฐบาลไทยรักไทย นี่เป็นนโยบายที่ดีมาก ซึ่งนายอนุทิน ก็อยู่ในรัฐบาลชุดนั้นด้วย?ก็เป็นคนหนึ่งที่ช่วยกันปลุกปั้นขึ้นมา แต่ก็มีเรื่องที่ต้องแก้ไข เพราะแต่เดิม ผู้ป่วย ใช้สิทธิ์ ได้ตามสถานพยาบาลที่กำหนดเท่านั้น เป็นข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการสื่อสารเมื่อ 20 ปีก่อน ที่ข้อมูลการรักษาของผู้ป่วย ยังเป็นเอกสาร ยังเป็นกระดาษ ต้องรวบรวมไว้ ณ ที่หนึ่งเป็นหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกเมื่อผู้ป่วย มารับบริการ ประวัติต่างๆ จะรวมอยู่ที่สถานพยาบาลที่ลงทะเบียนไว้ ง่ายต่อการวินิจฉัยรักษา หากเกิดการเจ็บป่วย นอกพื้นที่ นี่ คือความยากลำบาก เพราะหากจะใช้สิทธิ์ ก็ต้องดั้นด้น กลับมาที่โรงพยาบาล ที่ลงทะเบียนไว้ หรือถ้าไปใช้สิทธิ์ รับการรักษาที่โรงพยาบาลอื่น ก็ต้องหาช่อง หาทาง กลับไปเอาใบส่งตัว มีความยุ่งยาก วุ่นวายไม่น้อย
ขอย้ำว่า นี่เป็นปัญหาของเทคโนโลยีสมัยนั้น? ไม่ได้บอกว่านโยบายบัตรทองย่ำแย่แต่อย่างใด นี่คือนโยบายที่ดีมากๆ ผมมีเพื่อนบ้าน ก็รอดตายเพราะนโยบายนี้ แต่เมื่อผ่านมาแล้ว 20 ปี เทคโนโลยีการสื่อสารมันพัฒนาขึ้นมาก มันได้ทลายข้อจำกัดด้านการส่ง DATA จากที่หนึ่ง ไปอีกที่หนึ่งแล้ว ทุกโรงพยาบาล มีเครือข่ายข้อมูลกลาง สามารถส่งข้อมูลถึงกันและกันได้ ความคล่องตัวที่เกิดขึ้น ทำให้ ผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องยึดติดการรับบริการในสถานพยาบาลที่ลงทะเบียนไว้ แต่สมควร จะเข้ารับการรักษาต่างพื้นที่ได้ เพียงแต่ต้องมีการออกกฎกรอบมารองรับ ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติ
จึงเป็นที่มาของนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งนำร่องใช้มาแล้วในหลายพื้นที่ พบว่า ใช้ได้ดี เป็นที่ถูกใจของประชาชน และปีนี้ 2565 จะยกระดับกระจายการให้บริการให้ทั่วถึงทั้งประเทศ หากประชาชนอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ใช่หน่วยบริการประจำที่ลงทะเบียนไว้ แล้วเกิดการเจ็บป่วยที่ไม่ใช่กรณีป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารับบริการในระบบบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ การยกระดับนโยบายนี้ เพราะนายอนุทินเชื่อว่าประชาชนที่เจ็บป่วยอาจมีความจำเป็นต้องเข้ารับบริการในพื้นที่นอกหน่วยบริการที่ตัวเองลงทะเบียนไว้ ซึ่งที่ผ่านมาอาจต้องถูกเรียกให้กลับไปรับใบส่งตัวมาอีกครั้ง อันเป็นความทุกข์ของประชาชน ดังนั้น จึงได้ประกาศแนวทางนี้ให้เป็นนโยบาย และเป็นของขวัญปีใหม่ 2565 แก่พี่น้องประชาชน พร้อมยังย้ำว่า การยกระดับบัตรทองเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ได้มอบหมายให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ โดยเน้นใน 4 บริการ ได้แก่
1. ประชาชนที่เจ็บป่วยไปรับบริการกับหมอประจำครอบครัว ในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ หรือ 30 บาทรักษาทุกที่
2. ผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว
3. โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ และ
4. ย้ายหน่วยบริการ ได้สิทธิทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน
นับว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่ใช้บทบาทหน้าที่ เพื่อยกระดับงานบริการคนไทย และผมก็เชื่อว่าหลายคนยินดีกับเรื่องนี้ แต่บางคนกลับเห็นต่างๆ และไปกล่าวหาว่าท่านลอกการบ้านรัฐบาลโน้น
ประเด็น? คือ รัฐบาลโน้นนายอนุทิน ก็ร่วมทำงานอยู่ด้วย ก็ร่วมอยู่ในการประเดิมนโยบายนี้ ในช่วงตั้งไข่ 3-5 ปีแรก ในฐานะของ รมช.กระทรวงสาธารณสุข ในเมื่อนโยบายดี ก็ควรจะต่อยอดให้ดีขึ้น? ซึ่งน่าชื่นชมกับการพัฒนางาน เพื่อยกระดับงานบริการประชาชน ทำแล้ว ประชาชนได้ประโยชน์ผมว่าเป็นเรื่องน่ายินดีโดยการทำงานของนายอนุทิน ยังให้เกียรติ รัฐบาลที่ริเริ่มโครงการนี้ เพราะ KEY WORD คำว่า 30 บาท ยังอยู่ครบ ไม่ได้ต้องการจะลบภาพจำแต่อย่างใด และที่สำคัญที่สุด นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ถูกแรงเสียดทาน และมีกระบวนการพยายามทำให้หายไปอยู่ตลอดในรอบหลายปีหลัง แต่ก็เป็นนายอนุทิน ที่ยืนยันความจำเป็นของนโยบายบัตรทอง ว่าต้องมีต่อ และต้องทำให้ดีขึ้น และยืนยันว่า เป็นสิทธิ์ที่ประชาชนพึงได้รับ การเกิดขึ้นของนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ จึงเป็นเครื่องยืนยันเจตนารมย์นั้น พร้อมกับตอกย้ำว่า ตราบใดที่ท่านยังดำรงตำแหน่งอยู่ตรงนี้ นโยบายบัตรทองต้องดีขึ้น และไม่มีทางหายไปจากประเทศไทย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews