Home
|
ข่าว

ครม.อนุมัติงบกลางเป็นค่าตอบแทนจนท.ด่านหน้า

Featured Image
ครม.อนุมัติงบกลาง 811 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทนเสี่ยงภัยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานส่วนหน้า คนละ 500 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 6 เดือน

 

น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโรโรนา 2019 จำนวน 811.77 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนเสี่ยงภัยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานส่วนหน้า ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน หรือสมาชิกอส. ในสถานการณ์โควิด-19 ของกรมการปกครองจำนวน 270,590 คน ในอัตราคนละ 500 บาทต่อเดือน ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนต.ค.64-มี.ค.65

 

ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยรายงานว่า กรมการปกครองเคยได้รับการอนุมัติงบกลาง ปี 2563 จำนวน 677.79 ล้านบาท สำหรับเบิกจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในอัตราคนละ 500 บาทต่อเดือน และแพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ในอัตราคนละ 300 บาทต่อเดือน โดยไม่ได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับสมาชิกอส. ซึ่งต่างจากการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้ โดยปรับเป็นคนละ 500 บาทต่อเดือนเท่ากันทุกตำแหน่ง เพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและให้เกิดความเสมอภาคระหว่างบุคลากรที่ปฏิบัติงานด่านหน้า ซึ่งอัตราดังกล่าวเทียบเท่ากับอสม.

 

ส่วนการจัดสรรงบประมาณให้แก่สมาชิก อส. ด้วยนั้น  เนื่องจากสมาชิก อส.มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและกองกำลังประจำถิ่นที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ประจำการ ทำให้มีความเข้าใจสถานการณ์ในพื้นที่เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และมีบทบาทสำคัญในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าในสถานการณ์โควิด- 19

 

รวมถึงอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 331.59 ล้านบาท สำหรับจัดทำโครงการการบริหารจัดการ Organizational Quarantine หรือ OQ สำหรับแรงงานต่างด้าว และผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน ตั้งแต่เดือนต.ค.64-ก.ย.65

 

โดยงบประมาณวงเงิน 331.59 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในส่วนของอาคารกองร้อยหน่วยกำลังในหน่วยตชด.จำนวน 14 แห่ง วงเงิน 142.11 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในส่วนของอาคารเต็นท์สนาม ขนาด 250 เตียง จำนวน 14 แห่ง วงเงิน 189.48 ล้านบาท

 

ทั้งนี้จากสถานการณ์โควิด-19 ทางกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้จัดทำโครงการ OQ โดยใช้พื้นที่ของตำรวจตระเวนชายแดน เป็นสถานที่ควบคุมโรคติดต่อ และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดสู่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2564 มีคนไทยและแรงงานต่างด้าวที่เข้ารับการกักตัวแล้วจำนวน 2,999 คน ข้อมูล ณ วันที่ 14 มีนาคม 2565

 

สำหรับอัตราการเบิกจ่ายค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่มีดังนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ เจ้าหน้าที่ประสานงาน อัตราผลัดละ 420 บาท ผลัดละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง และเจ้าหน้าที่ล่ามแปลภาษา อัตราวันละ 420 บาท ส่วนอัตราเบิกจ่ายค่าอาหารและน้ำดื่มสำหรับแรงงานต่างด้าวในอัตรามื้อละ 50 บาท จำนวน 3 มื้อ/คน/วัน และค่าตรวจหาเชื้อโรคโควิด 19 คนละ 2 ครั้ง ในอัตราครั้งละ 1,500 บาท/คน

 

นอกจากนั้นยังได้มีการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 วงเงิน 8,458.38 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งจะโดยจัดสรรกับ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 7,777.09 ล้านบาท  กรมการแพทย์ 626.53  ล้านบาทกรมสุขภาพจิต 27.84 ล้านบาท กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 13.53 ล้านบาท และกรมอนามัย  13.37 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ เพื่อใช้จ่ายเป็นค่าตอบแทนการเสี่ยงภัยของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน ค่าตอบแทนบุคลากรนอกเหนือภารกิจปกติ(สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้บริการฉีดวัคซีนโควิด19 นอกสถานพยาบาล ค่ารักษาผู้ป่วยไร้สิทธิการรักษา และจัดซื้อยาแพกซ์โลวิด

 

น.ส.ไตรศุลี  กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากรด้านสาธารณสุขโดยการจัดสรรงบประมาณค่าตอบแทนเสี่ยงภัยและการปฏิบัติงานนอกเหนือภารกิจปกติโดยต่อเนื่อง รวมถึงมีนโยบายการจัดหายาเวชภัณฑ์ที่ประสิทธิภาพในปริมาณที่เพียงพอมาเพื่อรักษาประชาชน

 

ทั้งนี้ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีการใช้ยารักษาโควิดอยู่หลายชนิด เช่น ฟ้าทะลายโจร ฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์, เรมดิซิเวียร์ และล่าสุดอยู่ระหว่างการจัดหายาแพกซ์โลวิด ซึ่งผลิตโดยบริษัท ไฟเซอร์ ซึ่งหลังจากได้รับอนุมัติจาก ครม. แล้วจะมีการลงนามสัญญาเพื่อจัดซื้อตามขั้นตอนต่อไป

 

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล ยังกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ

 

ซึ่งเป็นการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่งเป็นข้อมูลข่าวสารที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งไม่ให้เปิดเผย หากเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือเศรษฐกิจของประเทศ เป็นต้น ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงระดับตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐในปัจจุบัน

 

ทั้งนี้ตามเดิมกำหนดให้ข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับ 6 ขึ้นไป เป็นผู้มีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ เปลี่ยนเป็น ให้ข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งประเภททั่วไประดับชำนาญงาน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หัวหน้างานประเภทวิชาการระดับชำนาญการ ประเภทอำนวยการ ประเภทบริหาร หรือเทียบเท่ากับตำแหน่งดังกล่าวขึ้นไป

 

เป็นผู้มีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ เพิ่มหน่วยงานและกำหนดตำแหน่งข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ให้เป็นผู้มีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ซึ่งเดิมไม่ได้กำหนดไว้ และได้ตัดตำแหน่งปลัดสุขาภิบาลและประธานสภาตำบลออก เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube