“ชัชชาติ”ลงเรือดูระบบระบายน้ำ-บำบัดน้ำเสียคลองแสนแสบ เล็งหาลดรายจ่ายหารายได้เพิ่ม ชงเปิดสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่หาเสียงเขตมีนบุรี โดยก่อนเริ่มลงพื้นที่ ได้กราบนมัสการพระภิกษุสงฆ์ที่มาบิณฑบาตรบริเวณตลาดน้ำขวัญเรียม ก่อนออกสำรวจตลาดน้ำขวัญเรียม และ ตรวจประตูน้ำระบายน้ำบางชัน (คลองแสนแสบ) ดูระบบบำบัดน้ำเสียและสำรวจการก่อรถไฟฟ้าสายสีส้ม (สถานีมีนพัฒนา) และสายสีชมพู (สถานีบางชัน) พร้อมทั้งได้พูดคุยกับอาสาสมัครด้านการดับเพลิง ฝั่งกรุงเทพฯ เพื่อความพร้อมช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยทักทายประชาชนแฟนคลับ ที่มาขอถ่ายภาพอย่างใกล้ชิด
โดยตลาดน้ำขวัญเรียมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากตัวเมืองกรุงเทพฯมีประชาชนมาตักบาตรช่วงเช้าเป็นตลาดชุมชนพัฒนาให้ประชาชนมาพักผ่อน
หย่อนใจเป็นพื้นที่สร้างเศรษฐกิจได้ ซึ่งชุมชนริมคลองก็ต้องดูแลเรื่องขยะเรื่องปล่อยน้ำเสียลงคลอง การบำบัดน้ำเสียกทม.มีการทำโรงบำบัดน้ำเสีย
ต้องบริหารจัดการรวมถึงการระบายน้ำป้องกันน้ำท่วมรวมถึงทุกพื้นที่ในกรุงเทพฯด้วย
โดยส่งเสริมการคมนาคมทางน้ำเดินเรือให้เชื่อมต่อรถไฟฟ้าและขนส่งมวลชน และต่อไปเมื่อมีรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีส้ม เขตมีนบุรีจะสามารถเชื่อมต่อการขนส่ง มวลชนได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่พื้นที่เขตหนองจอกยังมาไม่ถึงรถไฟฟ้า กทม.ต้องจัดระบบการเดินทางให้ประชาชนอาจจะต้องตัดสินใจเดินรถเองในบางจุดเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบเรือรถไฟฟ้าได้ดีขึ้นให้เกิดความเชื่อมโยงกัน อนาคตกรุงเทพฯต้องพัฒนาเมืองใหม่ขึ้น เนื่องจากกรุงเทพฯชั้นในมีความแออัดหนาแน่น เขตมีนบุรีเป็นพื้นที่น่าสนใจที่จะพัฒนาเป็นเมืองใหม่ซึ่งต้องวางแผนกันในระยะยาวต่อไป
นายชัชชาติ ระบุว่า รายได้ของกทม 2 ปีที่ผ่านมาลดลงกว่าหมื่นล้านบาทเนื่องจากลดการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง ซึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลทำให้กทม.ได้รับภาระ ปีนี้เมื่อเริ่มเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคาดว่ารายได้จะกลับคืนมา กทม.ต้องเอาจริงเอาจังเรื่องการเก็บภาษีมากขึ้นเช่นภาษีป้ายโฆษณาแต่ต้องให้เป็นธรรมตามความเหมาะสมทำให้โปร่งใสไม่เพิ่มภาระให้กับประชาชน
ขณะเดียวกันก็ต้องลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง คล้ายเป็นการเพิ่มรายได้เพื่อมีเงินเหลือไปดูแลบริหารเรื่องอื่น และกทม.ก็ต้องเริ่มคิดการหารายได้เพิ่มขึ้นด้วยเนื่องจากกทม.มีทรัพย์สินอยู่หลายอย่าง รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลังปี 2572 ทุกอย่างจะตกเป็นของกทม.ซึ่งจะมีรายได้ปีละกว่า 10,000 ล้านบาทรายได้จากทั้งค่าโดยสารและค่าโฆษณาทั้งหมดแต่กทม.ต้องจ่ายค่าเดินรถที่มีสัญญาจ้างถึงปี 2585
แต่ปัญหาคือกทม.ไม่ทราบรายละเอียดในสัญญาจ้างเดินรถเป็นอย่างไร จึงต้องเปิดเผยสัญญาให้ประชาชนได้ทราบ ให้เกิดความเป็นธรรม ส่วนหนี้สินกว่า 60,000 ล้านบาทนั้นต้องไปดูว่านี่ส่วนไหนที่ต้องจ่ายบ้างและต้องไปดูงบดุลของบริษัทลูกของกทม. บริษัทกรุงเทพธนาคม ไม่ได้นำมารวมกันจึงทำให้ไม่เห็นหนี้สินทั้งหมด จึงเป็นเรื่องที่ต้องเปิดเผยซึ่งเข้าใจว่ากรุงเทพธนาคมก็มีภาระค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews