“รสนา” หาเสียงชูจุดขาย “หยุดโกงกรุงเทพฯเปลี่ยนแน่”
“รสนา” หาเสียงชุมชนวัดคูหาสวรรค์ ชูจุดขาย “หยุดโกงกรุงเทพฯเปลี่ยนแน่” เชื่อหากประชาชนเข้าถึงข้อมูลจริงสามารถตัดสินใจได้
บรรยากาศการลงพื้นที่หาเสียงของ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่หาเสียงพื้นที่ชุมชนบริเวณวัดคูหาสวรรค์วรวิหารพื้นที่บ้านศิลปินคลองบางหลวง และตลาดคลองบางหลวง เขตภาษีเจริญ โดยบรรยากาศมีประชาชนพูดคุยและให้กำลังใจ รวมถึงสะท้อนปัญหาต่างๆให้กับน.ส.รสนา ได้ทราบ
โดยน.ส.รสนา กล่าวภายหลังการลงพื้นที่ ว่า ได้รับการตอบรับจากประชาชนดี เวลาลงชุมชนหรือพื้นที่มีคนจำได้ และหลายคนได้บอกว่าเลือกอยู่แล้ว และเลือกมาตั้งแต่เป็น ส.ว. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ ส่วนประสบความสำเร็จในการลงพื้นที่หาเสียงหรือไม่นั้น น.ส.รสนา ระบุว่า
เชื่อมั่นว่าหากประชาชนเข้าถึงข้อมูลจริงสามารถตัดสินใจได้ เพราะสิ่งที่เป็นสโลแกนหลักของตัวเอง คือ “ต้องหยุดโกงกรุงเทพเปลี่ยนแน่” และเชื่อมั่นว่าคนกรุงเทพฯต้องการการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด คือ การหยุดโกง เพราะถ้าหากไม่หยุดโกงไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็แล้วแต่ที่โฆษณามันจะไม่สำเร็จ
ซึ่งขณะนี้ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเจอโควิด-19 มานานเกือบ 3 ปีแล้ว มีแต่จ่ายเงินออกไป จึงไม่มีเงินมากมายที่จะนำมาพัฒนาบ้านเมือง เพราะฉะนั้นนโยบายที่สำคัญของตัวเอง คือ การนำยาไทยฟ้าทะลายโจรมาเพื่อที่จะทำให้คนกรุงเทพฯ มีความมั่นใจในการทำมาหากิน ซึ่งแต่ก่อนโควิด-19 น่ากลัวเพราะไม่มียา แต่ขณะนี้เรามั่นใจว่าฟ้าทลายโจรสามารถยั้งการขยายตัว และสามารถจัดการเรื่องโควิด-19 ได้ และเชื่อมั่นว่านโยบายของเราตอบสนองต่อความจำเป็นคนกรุงเทพฯในขณะนี้
หากเราหยุดโกง เราจะมีเงินเหลือพอที่จะทำสวัสดิการสำหรับคนกรุงเทพฯโดยเฉพาะเรื่องบำนาญ 3,000 บาท และอีกประเด็นที่ใหญ่มาก คือ เรื่องรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งเหลือเวลาอีก 7 ปีข้างหน้าจึงจะหมดสัมปทาน ซึ่งกทม.จำเป็นจะต้องต่อบริษัทเอกชนภายในปี 2567 ว่าจะต่อสัมปทานหรือไม่ หากไม่ต่อจะสามารถทำให้ค่าโดยสารเหลือ 20 บาทแน่นอน
แต่ขณะนี้ฝ่ายการเมืองและภาคธุรกิจมีความพยายามที่จะผูกมัดปมต่างๆเพื่อทำให้ต้องต่อสัมปทานบีทีเอสไปอีก 30 ปี ในราคา 65 บาท หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจุดยืนนี้ไม่ว่าผู้ว่าฯกทม.คนใดเข้ามา แล้วเดินไปทางที่ต่อสัมปทาน คนกทม.ต้องแบกรับค่าโดยสาร 65 บาทไปอีก 30 ปี ซึ่งใหญ่มาก ตนจึงคิดว่าหากคนกรุงเทพฯเข้าถึงการอธิบายข้อมูลของตัวเองจะต้องตัดสินใจ ซึ่งอาจมีตัวเองเพียงคนเดียวที่บอกว่า เราจะพยายามแก้หนี้ที่เขาผูกขึ้นมา เพื่อบีบให้คนกรุงเทพฯหรือผู้ว่ากทม.คนต่อไปต้องต่อสัมปทานต่อไปอีก 30 ปี
นอกจากนี้ตนพยายามเน้นนโยบาย เช่น กรณีรถไฟฟ้าบีทีเอสเห็นได้ชัดว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย เพราะการทำส่วนต่อขยาย 2 ส่วนเป็นการทำส่วนต่อขยายทั้งที่รู้ว่าขาดทุนและมีการปล่อยให้เดินรถ โดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย จึงทำให้หนี้พอกพูน ยิ่งไปกว่านั้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักจะหมดสัญญาในอีก 7 ปี แต่ส่วนต่อขยายมีการทำสัญญาจ้างเดินรถถึงปี 2585 จึงเกิดการเขย่งขึ้นมา หากอีก 7 ปีส่วนหลักหมดอายุจะจ้างใครมาเดินรถ กลายเป็นว่าให้เจ้าเก่าเดินรถเพียงเจ้าเดียวใช่หรือไม่ จึงเป็นสิ่งที่ต้องถูกตรวจสอบว่าถูกด้วยกฎหมายหรือไม่ แล้วใครจะทำ ถ้าไม่ใช่รสนา เ
ราจะทำเรื่องนี้อย่างแน่นอน จะไม่สามารถมาบีบคอคนกรุงเทพฯด้วยวิธีการแบบนี้ เวลานี้ถึงเวลาแล้วที่ระบบรางจะต้องกลับมาเป็นของรัฐ ของกทม. เพื่อทำให้ราคาค่าโดยสารถูกลง หากไม่สามารถทำให้ระบบรางเป็นขนส่งมวลชน จะไม่มีทางแก้ปัญหารถติด หรือปัญหาฝุ่น pm.2.5 ได้ในกระบวนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือรถติดเป็นเรื่องที่ต้องประทังในช่วงนี้ไป แต่ขณะเดียวกันต้องกำหนดเส้นทางที่จะแก้ปัญหาให้เต็มที่ต่อไป หากทำมั่วไปเรื่อยก็จะวนเวียนอยู่กับปมต่างๆที่ถูกผูกขึ้นมาจนแก้ไม่ได้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews