Home
|
ข่าว

“อนุทิน” ประชุมสธ.อาเซียนดันไทยศูนย์กลางภูมิภาค

Featured Image
“อนุทิน” ประชุมร่วมรัฐมนตรี สธ.อาเซียน ดันไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค แก้ปัญหาโรคอุบัติใหม่

 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้นำคณะผู้บริหารกระทรวง เข้าร่วมประชุม รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน (ASEAN Health Ministers Meeting : AHMM) ครั้งที่ 15 ที่โรงแรมคอนราด บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยหารือกันในครั้งนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์รวมถึงการบริหารจัดการต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ตลอดจนการดำเนินมาตรการ

 

ด้านสาธารณสุขเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมในภูมิภาคภายหลังการแพร่ระบาดโดยนายอนุทิน กล่าวในที่ประชุมภายใต้หัวข้อ “การสร้างความยืดหยุ่นของระบบสุขภาพและการเร่งฟื้นสถานการณ์ในภูมิภาค หลังการระบาดของโควิด-19” ว่า การระบาดของโควิด-19 ได้ทดสอบระบบสาธารณสุข ของภูมิภาคอาเซียน ในทุกมิติ นี่คือความท้าทายมากในการดูแลระบบพื้นฐาน ไปพร้อมกับการควบคุมโรค

 

ซึ่งเราได้เห็นความกระตือรือร้นของภูมิภาคอาเซียน เพื่อแก้ไขวิกฤติ เช่น การเดินหน้าตั้งเครือข่ายการรับมือภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ไปจนถึงการสร้างบุคลากรการแพทย์ ในตำแหน่งต่างๆ เพื่อหยุดยั้งการระบาด อาเซียน ได้ร่วมมือกับนานาชาติ เสริมสร้างความมั่นคงสูงสุด

 

ขณะนี้ สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายถึงเวลาที่ต้องหาทางเร่งการฟื้นตัวในภาคส่วน ขณะที่เรื่องของสาธารณสุข ต้องดำเนินการควบคู่กันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ ปี 2021 – 2025 เพื่อการพัฒนาสุขภาพอาเซียนกรอบการพัฒนา มีด้วยกัน 5 กลยุทธ์กว้างๆ และที่สำคัญ คือ การตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ASEAN Centre for Public Health Emergencies and EmergingDiseases: ACPHEED) โดยเสนอให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางหลัก และไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพในการดำเนินเรื่องนี้ และมั่นใจว่า จะเป็นประโยชน์แก่พลเมืองอาเซียนทั้งภูมิภาค

 

สำหรับศูนย์ ACPHEED เป็นแนวคิดของผู้นำอาเซียน จากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 เมื่อเดือน พ.ย. 2563 ซึ่งมี 3 ประเทศสมาชิกได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นผู้ขับเคลื่อนหลักซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการพัฒนาสาธารณสุข (SOMHD) มาโดยต่อเนื่อง

 

นอกจากได้หารือระหว่างประเทศสมาชิกอาซียนแล้ว ยังได้ร่วมคณะรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ประชุมกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน บวก3 (จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี) และการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-สหรัฐอเมริกา เป็นต้น พร้อมกันนี้นายอนุทิน มีกำหนดการหารือแบบทวิภาคีในประเด็นความร่วมมือ

 

ด้านสาธารณสุขกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา และรัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ อีกด้วย ขณะเฟซบุ๊ก ” Anutin Charnvirakul” ปรากฏข้อความว่า “มาประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน บวกสาม ครับ ทริปนี้ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะนอกจากจะประชุมร่วมอาเซียนแล้ว ยังมีจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เข้าร่วม และผมก็จะได้หารือกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย เมียนมา และสิงคโปร์ด้วย

 

ความร่วมมือด้านสาธารณสุขในภูมิภาคจะทำให้เรามีความมั่นคงทางสาธารณสุขไปด้วยกันภายหลังการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยจะมีความพร้อมยิ่งขึ้นที่จะรับมือกับเหตุฉุกเฉินทางสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้นได้อีกได้ในอนาคต สิ่งที่น่ายินดี คือ ไทยเราได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกให้เป็นต้นแบบด้านการรับมือกับสถานการณ์โควิด

 

ซึ่งเป็นผลมาจากการที่องค์การอนามัยโลกได้ส่งทีมเข้ามาทำการติดตามศึกษา และหาข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์การรับมือกับโรคระบาดในประเทศไทย ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Universal Health Preparedness Reviews หรือเรียกคำย่อสั้นๆ ว่า UHPRเมื่อวานนี้ ที่บาหลี

 

ทีมไทยแลนด์ได้ทำการเจรจากับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน จนมีข้อตกลงว่าประเทศไทยจะได้เป็นที่จัดตั้งศูนย์กลางการแพทย์ฉุกเฉินและโรคอุบัติใหม่แห่งอาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การวางระบบสุขภาพในภูมิภาคอาเซียน นี่คือการตอกย้ำความเป็นผู้นำทางสาธารณสุขของไทยในภูมิภาค

 

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หลายประเทศต้องการเรียนรู้จากเรา ผมจึงใช้โอกาสนี้เล่าไปว่าไทยเรามี

 

“คนไทย” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของความสำเร็จในการรับมือกับโควิด เรามีการดูแลซึ่งกันและกันผ่านเครือข่าย อสม. และมีความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในระดับที่สูงเป็นอย่างมากนอกจากนี้ ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรารับมือกับโรคระบาดต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งการให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพของประชาชนโดยรัฐบาลนั้นเป็นไปในรูปแบบ การใส่ใจอย่างเต็มที่เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยและมีสุขภาพดี เราจึงได้มีความพร้อมทางด้านการสาธารณสุขเป็นอันดับต้นๆของโลก อยู่แดนอิเหนาต่ออีกวัน มีภารกิจต้องหารือกับหลายประเทศ แล้วก็ต้องบินต่อไปประชุมด้านการคมนาคมขนส่งกับรัฐบาลสิงคโปร์ร่วมกับ รมต. ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อีกสองวันที่ประเทศสิงคโปร์ คาดว่าน่า จะได้ประโยชน์หลายอย่างต่อประเทศไทยของเราเพิ่มมากขึ้นอีกครับ”

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube